วันพฤหัสบดีที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

กลุ่มชาติพันธุ์ภาคเหนือ (นายวราภาส เขียวเกษม ม.5/6 เลขที่29)

ชาวม้ง


  • ในประวัติศาสตร์อดีตของชาวม้ง มีสภาพชีวิตความเป็นอยู่ในลักษณะที่ต้องต่อสู้กับภัยธรรมชาติขาดความช่วยเหลือจากโลกภายนอก และมีขนบธรรมเนียมประเพณีที่สืบทอดต่อๆมาเป็นของตนเอง จึงดูเหมือนว่าชาวม้งมักจะไม่มีความไว้วางใจต่อคนแปลกหน้ามากนัก ดังนั้นการที่จะเข้าไปให้ความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ที่ต้องการกระทำด้วยความจริงใจและค่อยเป็นค่อยไป แต่ในปัจจุบันชาวม้งหรือแม้วมีการติดต่อกับโลกภายนอกมากขึ้น  โดยเฉพาะกับคนพื้นราบ  เรามักจะพบกับชาวม้งลงจากดอยเข้ามาหาซื้อข้าวของเครื่องใช้  หรือติดต่อค้าขายทำธุรกิจกับคนเมืองมากขึ้น
  • ชาวม้งหรือแม้ว  มีลักษณะนิสัยมีความขยันขันแข็งมีความอุตสาหะเป็นพิเศษ  ชีวิตประจำวันปกติ  พวกเขาแทบจะไม่มีเวลาว่างจากการทำงานเลยทั้งหญิงและชาย  นอกจากงานในไร่แล้ว  ผู้ชายยังต้องรับผิดชอบในการซ่อมแซมบ้านเรือน  วัสดุ  เครื่องมือ  เครื่องใช้  ในครัวเรือน  ตลอดจนการติอต่อค้าขาย  ทำธุรกิจกับคนภายนอก  เมื่อว่างจาการงานก็จะออกไปล่าสัตว์นำมาเป็นอาหารบ้าง
  • สำหรับผู้หญิงแม้ว  นอกจากงานในไร่ยังจะต้องรับผิดชอบในเรื่องจดหาอาหาร  เลี้ยงสัตว์  ทำความสะอาดเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม  ยามว่างก็จะเย็บปักถักร้อย  ประดิษฐ์ลวดลายต่างๆ  ลงบนลายผ้าเอาไว้ใช้ตัดเย็บใส่เสื้อผ้าเป็นต้น
  • ชาวม้งมีนิสัยรักความเป็นอิสระ  ซึ่งเป็นลักษณะที่เด่นชัดประวัติศาสตร์ของม้งหรือแม้ว  จะเห็นได้ว่าพยายามหลีกเลี่ยงการถูกกดขี่และครอบงำจากจีนมาตลอดมาจนบางครั้งทำให้เกิดการต่อสู้และเป็นผลทำให้มีการอพยพลงมาทางใต้ของชาวม้ง  เช่นในปัจจุบัน
  • ม้งหรือแม้วปกติเป็นคนฉลาดกว่าชาวเขาเผ่าอื่นๆที่มีอยู่ในประเทศไทย  โดยเฉพาะการคิดคำนวณ  ทั้งนี้เนื่องจากอาจจะเป็นเพราะว่าชาวม้งมีนิสัยด้านการค้าขาย  ลักษณะโดยทั่วไปแม้ไม่ค่อยจะวางใจในตนแปลกหน้า  แต่เมื่อได้สังเกตดูจนเป็นที่พอใจแล้ว  พวกเขาก็จะมีท่าทีที่ค่อนข้างจะเปิดเผยจริงใจ และซื่อสัตย์มากขึ้น  โดยเฉพาะในเรื่องของการทำธุรกิจทางการค้าขาย
  • จากอดีตที่ผ่านมาพบว่าพวกเขามักจะแสดงออกถึงการถ่อมตัวและหลีกเลี่ยงการปะทะและการขัดแย้ง  แต่หากไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้  หรือรู้สึกว่าถูกละเมิดเอาเปรียบพวกเขาก็จะแสดงอาการที่ก้าวร้าวและตอบโต้ในทางที่รุนแรง
  • ลักษณะนิสัยของชาวม้งหรือแม้วอีกประการหนึ่ง  พวกเขาก็จะมีความละเอียดอ่อน  ในเรื่องของการรักษาหน้ารักษาชื่อเสียง  หนุ่มสาวบางรายอาจจะตัดสินใจกินฝิ่นจนตาย  หากรู้สึกว่าตนเองต้องเสียหน้า  ทำให้อับอายอย่างมากหรืออกหักสูญเสียคนรักไป  หรือถูกด่าว่ารุนแรงจากพ่อแม่ พี่น้อง  เป็นต้น
  • แต่ลักษณะหรือค่านิยมเหล่านี้ก็มิได้ยึดถือและครอบคลุมไปทุกคนเพราะปัจจุบันชาวม้งเริ่มมีการปรับเปลี่ยนค่านิยม  ที่เปลี่ยนแปลงไปตามค่านิยม  ที่เปลี่ยนแปลงไปตามสังคมและวัฒนธรรมภายนอกมากขึ้น
  • โดยปกติตามจารีตประเพณี  สังคมของแม้ว มีการสืบสกุลทางฝ่ายชายบุตรชายจะเป็นผู้สืบทอดหน้าที่ทางพิธีกรรมต่างๆ ต่อจากบิดา การแต่งงานจะรับรู้ในลักษณะความหมายในการซื้อเมีย  เพราะฝ่ายชายจะต้องจ่ายค่าสินสอด  ซื้อตัวเจ้าสาว  ออกมาจากครอบครัวมาเป็นสมาชิกแรงงานใหม่ในครอบครัวของฝ่ายชาย  และไม่ว่าจะในกิจกรรมใดๆก็ตามส่วนใหญ่ฝ่ายชายจะเป็นผู้ชี้ขาดตัดสินเป็นเสียงสุดท้าย
  • เหตุผลที่สำคัญที่สุดที่ผู้ชายแม้วจะพิจารณาเลือกสาวมาเป็นคู่ครองคือ  ต้องมีความขยันขันแข็งและแข็งแรง  ส่วนความสวยนั้นมาเป็นอันดับรอง  ในทำนองเดียวกันหากหนุ่มแม้วคนไหนขี้เกียจ  ติดฝิ่น  ก็ย่อมยากที่จะหาสาวมาเป็นภรรยาได้  เพราะลักษณะนิสัยของแม้ว  จะต้องเป็นบุคคลที่ขยันต่องานอย่างจริงจัง และเนื่องจากสังคมของแม้วยังนิยมใช้แรงงานคนเป็นสำคัญ  ครอบครัวหนึ่งๆก็ควรจะมีแรงงานมากพอสมควร ดังนั้นแม้วจึงนิยมมีบุตรหลายคน ครอบครัวไหนมีลูกหลานมาก  ก็หมายถึงมีแรงงานมากมาก  การเพาะปลูกและผลผลิตก็ย่อมจะได้มากตามไปด้วย  ซึ่งจะทำให้สถานะทางเศรษฐกิจภายในครอบครัวมีความเจริญยิ่งขึ้น
  • ลักษณะของชาวม้งหรือแม้ว  จะมีรูปพรรณท่าทางการพูดจาคล้ายคนจีนแต่ลักษณะโดยทั่วไปม้งจะมีผิวคล้ำกว่าจีนเล็กน้อยสำหรับผู้ชายจะมีรูปร่างสูงกว่าหญิงเล็กน้อย  ผู้หญิงม้งหรือแม้วรูปร่างมักจะได้สัดส่วน  บางคนมีรูปร่างหน้าตาค่อนข้างจะสวยคล้ายคนจีน  ลักษณะโดยทั่วไป พวกม้งจะมีความอยากรู้อยากเห็น แต่ค่อนข้างจะขี้อายพยายามหลบหน้าเมื่อมีคนแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้าน  จนกว่าจะแน่ใจเสียก่อน
  • พวกม้งหรือแม้วไม่มีภาษาที่แน่นอน  ส่วนใหญ่มักจะยืมภาษาจีน  ภาษายูนนาน  ภาษาลาว  และภาษาไทยภาคเหนือมาใช้  นอกจากนี้ม้งยังไม่มีตัวหนังสือเป็นของตนเองอีกด้วย  เล่ากันว่า  เดิมม้งมีหนังสือใช้เหมือนกัน  แต่ต้องอพยพหลบภัยอยู่เสมอ  จึงขนหนังสือใส่หลังม้า  เดินทางมาถึงลำธารแห่งหนึ่งก็ปลดม้าวางตะกร้าหนังสือเอาไว้  และพากันนอนหลับไป  จนม้ากินหนังสือหมด  ชาวม้งจึงไม่มีหนังสือใช้จนทุกวันนี้
  • ชาวม้งมีเครื่องหมายกรีดบนท่อนไม้เล็กๆ  ใช้แทนตัวหนังสือ  เช่น  แสดงความรักความคิดถึงก็เอามีดมาแกะท่อนไม้เป็นรอยตรงๆ 4 รอย ก็แสดงถึงความรักอย่างท่วมท้นแล้ว ถ้าเป็นรอยเฉียงๆ ก็แสดงว่าความรักนั้นได้ขาดลงไปแล้ว  เป็นต้น  หรือถ้าแกะเป็นรอยตรงๆ 2 รอย  ห่างกันทางหัวไม้ท้ายไม้  ปักขนไก่กับพริกขี้หนูติดไปด้วย  ฝากไปให้ญาติห่างไกล  นั่นแสดงว่ามีเรื่องด่วนหรือธุระต้องการที่จะพบหากันด่วนเป็นต้น
  • ปัจจุบันในเรื่องการศึกษา  ชาวเขาเผ่าม้งหรือแม้วมักจะให้ความสนใจในการศึกษามากกว่าชาวเขาเผ่าอื่นๆ ที่มีในประเทศไทย  จึงทำให้ม้งหรือแม้วมีความเฉลียวฉลาดและทันต่อเหตุการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันมากขึ้น

    จัดทำโดย นายวราภาส เขียวเกษม ม.5/6 เลขที่29

อันตรายจากแปลงสีฟัน

      

อันตรายจากเรื่องที่ทำเป็นประจำ

                                      
"แบคทีเรียที่ซ่อนอยู่ในแปรงสีฟัน จะเดินทางเข้าสู่กระแสเลือด"
เดลิเมล์- ผู้เชี่ยวชาญเตือนแทนที่จะช่วยสร้างเสริมสุขภาพให้แข็งแรง แต่แปรงสีฟันอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้มากกว่าที่คิด

ในหนังสือเล่มใหม่ เหตุใดแปรงสีฟันจึงอาจฆ่าคุณได้? เจมส์ ซอง นักเคมีจากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน สหรัฐฯ ระบุว่าแปรงสีฟันที่ใช้งานนานเกินไป ถือเป็นหนึ่งในวัตถุอันตรายในครัวเรือน และว่าปัญหาสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไขข้อ และการติดเชื้อเรื้อรัง อาจเกี่ยวพันกับแปรงสีฟันที่ไม่ถูกสุขอนามัย

ตามทฤษฎีของซองนั้น ดูเหมือนแบคทีเรียจำนวนมากจะซุกซ่อนอยู่ในแปรงสีฟัน และแบคทีเรียเหล่านี้เดินทางเข้าสู่กระแสเลือดของผู้ใช้โดยตรงผ่านรอยแผลเล็กๆ ที่เหงือก แบคทีเรียเหล่านี้บางส่วนเกี่ยวข้องกับการอุดตันของเส้นเลือด

แนวคิดนี้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ผลการวิจัยเมื่อเร็วๆ นี้ของมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ในอังกฤษ พบว่าแปรงสีฟันทั่วๆ ไปเป็นแหล่งอาศัยของเชื้อโรคประมาณ 10 ล้านตัว ซึ่งรวมถึงแบคทีเรียอันตรายอย่าง staphylococci, streptococcus, E. coli และ candida

ขณะเดียวกัน สมาคมทันตกรรมแห่งอังกฤษ (บีดีเอ) สำทับว่าอันตรายยิ่งร้ายแรงขึ้นหากมีการใช้แปรงสีฟันร่วมกับคนอื่น


พบ!! เชื้อไวรัสตับอักเสบเอ, บี และซีในแปรงสีฟัน
ดร. ทาเร็ก ไอดริส ผู้เชี่ยวชาญด้านทันตกรรมตกแต่งจากฮาร์เลย์ สตรีท ขานรับว่ามีการตรวจพบเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ, บี และซีในแปรงสีฟัน และสปอร์ของไวรัสตับอักเสบบีสามารถอยู่รอดได้นานหลายเดือน นอกจากนั้น แปรงสีฟันเปียกชื้นยังเป็นแหล่งกบดานสมบูรณ์แบบของแบคทีเรียร้ายหลายชนิด

เกือบจะเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์อย่างมากที่แปรงสีฟันถือเป็นวัตถุอันตรายในบ้าน เราไม่ควรทิ้งแปรงสีฟันไว้ในห้องน้ำแล้วใช้แล้วใช้อีกโดยไม่ล้างให้สะอาดเสียก่อน ไอดริสเสริม

นอกจากนั้น หลายคนยังทิ้งแปรงสีฟันไว้ในแก้วเดียวกับคนอื่น ซึ่งอาจทำให้เชื้อโรคติดต่อถึงกันหากแปรงสีฟันสัมผัสกัน

ความเสี่ยงที่แบคทีเรียในช่องปากจะเข้าสู่กระแสเลือดถูกตอกย้ำจากงานวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเชื้อแบคทีเรีย porphy-romonas gingivalis ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคปริทันต์ ปรากฏอยู่ในเส้นเลือดที่อุดตันรุนแรง

การศึกษาของศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบียของสหรัฐฯ ที่เผยแพร่ออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ ระบุว่าแบคทีเรียในช่องปากของอาสาสมัครที่เป็นโรคหัวใจ ไปปรากฏอยู่ในหลอดเลือดหัวใจเช่นเดียวกัน แบคทีเรียนี้ยังเกี่ยวข้องกับการคลอดก่อนกำหนด และการที่ทารกมีน้ำหนักตัวแรกเกิดต่ำ

ไอดริสเสริมว่า การสะสมของแบคทีเรียร้ายในระบบเลือด อาจส่งผลต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และเขาเชื่อว่า ในอีก 10-15 ปีข้างหน้า เราอาจต้องฆ่าเชื้อแปรงสีฟันกันเป็นประจำ หรือใช้แปรงสีฟันแบบใช้แล้วทิ้ง

ด้วยข้อมูลทั้งหมดนี้ ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้เปลี่ยนแปรงสีฟันอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือน ไม่ควรใช้แปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น ขอคำแนะนำเรื่องการแปรงฟันจากทันตแพทย์ งดใช้แปรงสีฟันที่มีขนแปรงแข็ง เนื่องจากจะทำให้เหงือกเป็นแผล และกลายเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด และหาปลอกใส่แปรงสีฟันหากต้องเก็บไว้ในห้องน้ำ เป็นต้น

http://variety.teenee.com/foodforbrain/509.html

นาย ธนวุฒิ ทองงาม ม.5/6 เลขที่ 25 

10 มหาเศรษฐี ระดับโลก ที่เรียนไม่จบมหาวิทยาลัย (นายวราภาส เขียวเกษม ม.5/6 เลขที่29)


เป็นเรื่องที่แปลกแต่จริงนะครับ คำว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่นบาง ครั้งไม่ต้องจบระดับปริญญาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ เพียงแค่มีโอกาส ความเชื่อ และความพยายาม ตัวอย่าง 10 คนดัง ต่อไปนี้ที่ก้าวข้ามคำว่าใบปริญญาและประสบความสำเร็จบนเส้นทางที่ตนเองได้ เลือกเอง

1. ริชาร์ด แบรนสัน (Richard Branson) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Virgin
ด้วย ภาพลักษณ์นักธุรกิจนอกกรอบ ตำราไหนว่าแน่พี่ขอแหก เสาะแสวงหาความท้าทาย ในการดำเนินชีวิตและธุรกิจ เลิกเรียนตั้งแต่อายุ 16 มาเอาดีด้วยการทำนิตยสารสำหรับนักเรียนเป็นธุรกิจ ค่อยๆ ขยายธุรกิจอื่นๆ มากมาย ไม่เว้นแม้แต่สายการบิน เป็นเพลย์บอยแถมรวยภาพที่ปรากฏก็เลยแสบๆ อย่างที่เห็น


2. โคโค แชลแนล (CoCo Chanel) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Channel
เธอ เกิดมากำพร้า เริ่มอาชีพเป็นเพียงช่างเย็บผ้า ในยุคที่สตรีต้องตัดชุดสตรีเท่านั้น แชนแนลผลักดันตัวเองอย่างกล้าหาญด้วยการออกแบบเสื้อผ้าสำหรับผู้ชาย ด้วยความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบและผสมผสานเนื้อผ้า สร้างเอกลักษณ์ให้ผลงานของเธอ แต่ที่สร้างชื่อให้เธอเป็นที่จดจำตลอดกาลคือ คือ น้ำหอม แชนแนลหมายเลข 5 อันโด่งดังนั่นเอง


3. ไมเคิล เดลล์ (Michael Dell) : ผู้ก่อตั้งแบรนด์ Dell
ไป ไหนก็จะเห็นคอมพิวเตอร์-โน้ทบุ๊คยี่ห้อ Dell กันใช่ไหม ผู้ก่อตั้งคือ ไมเคิล เดลล์ เขาหยุดเรียนตั้งแต่อายุ 19 มาก่อตั้งบริษัท PC's Limited ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น Dell, Inc และผันตัวเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จ มากที่สุดในโลก ในปี 1996 เดลล์ได้มอบทุนให้มหาลัยเทกซัสจำนวน 50 ล้านเหรียญ (ราวๆ 2,000 ล้านบาท) เพื่อยกระดับสุขภาพและการศึกษาของเยาวชน


4.เฮนรี่ ฟอร์ด (Henry Ford) : ผู้ก่อตั้ง Ford Motor
เขา ออกจากบ้านตอนอายุ 16 ปีเพื่อเป็นช่างยนต์ ภายหลังก่อตั้ง บริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ ดำเนินอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ ซึ่งรถที่ประสบความสำเร็จครั้งแรกคือรุ่น Ford Model T ผลกำไรทำให้ขยายกิจการ และริเริ่มวางสายการผลิตแบบอัตโนมัติ


5. บิล เกตส์ (Bill Gates) : ผู้ก่อตั้ง Microsoft
ติด อันดับมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในโลกปี 1995 - 2006 ช่วงวัยรุ่นหยุดเรียนเพราะมุ่งมั่นมากที่ จะตั้งบริษัทผลิตซอฟท์แวร์ ชื่อความหมายเล็กจิ๋วว่า บริษัทไมโครซอฟท์ รวยล้นฟ้าแล้วยังใจบุญ เพราะครอบครัวบิลก่อตั้ง มูลนิธิ บิล & มาลิดา เกตส์ คอยช่วยเหลือด้านการศึกษาและสุขภาพแก่คนทั้งโลก


6. สตีฟ จ็อปส์ (Steve Jobs) : ผู้ก่อตั้งและสร้างความยิ่งใหญ่ ให้แบรนด์ Apple
เรียน มหาวิทยาลัยได้เทอมเดียวก็ไปทำงานให้กับ บริษัท อาตาริ ก่อนที่จะควบรวมเป็น บริษัท แอปเปิ้ล คอมพิวเตอร์ แต่ชื่อมันยาว เดี๋ยวนี้เลยตัดเหลือเพียง แอปเปิ้ล แบรนด์ล้ำๆ ที่ทำให้คนทั้งโลกคลั่ง กับผลงานล่าสุดอย่าง iPad และ iPhone 4 ครั้งหนึ่งสตีฟ จ็อปส์เคยเป็น CEO ให้ Pixar ก่อนที่จะควบรวมกับ วอลท์ ดีสนีย์


7. เจมส์ คาเมรอน (James Cameron) : ผู้กำกับระดับออสการ์
หยุด เรียนตอนปี 2 ไปทำงานรับจ้างทั่วไป ทั้งขับรถบรรทุกและงานเขียน ระหว่างนั้นก็พยายามเรียนด้าน สเปเชียล เอฟเฟค ด้วยตนเอง จากวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาในห้องสมุด หลังจากดูหนัง สตาร์วอร์ จึงเลิกขับรถบรรทุก ไปหางานในวงการภาพยนตร์ทำ จากงานผู้ช่วย ก็ผันมาเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่กลายเป็นตำนาน อย่าง คนเหล็ก 2, ไททานิค และ ภาพยนตร์ 3D สุดอลังการอย่าง อวาตาร


8.เลดี้ กาก้า (Lady Gaga) : นักร้องซุปเปอร์สตาร์ หลุดโลก
กว่า จะเป็นราชินีเพลงป๊อปแดนซ์และเจ้าแม่แฟชั่นหลุดโลกคนนี้ เธอหัดเปียโนตั้งแต่อายุ 4 ขวบ เริ่มเขียนโน้ตเปียโนตอน 13 พออายุ 17 ปีก็แต่งเพลงเอง จนกระทั่งปีสองเทอมสอง เธอหยุดเรียนและหันไปเอาดีในอาชีพดนตรี ด้วยเงินเพียงน้อยนิด จนประสบความสำเร็จในชื่อ "เลดี้ กาก้า" ที่ทั้งโลกรู้จัก ชื่อที่ผันมาจากชื่อเพลง "เรดิโอ กา ก้า"


9. ไทเกอร์ วู๊ดส์ (Tiger Woods) : อดีตนักกอล์ฟหมายเลข 1 ของโลก
เล่น กอล์ฟตั้งแต่เดินได้ โชว์วงสวิงให้โลกตะลึงตอนอายุ 2 ขวบ เอาชนะพ่อตัวเองได้ตอน 11 ขวบ หลังจากคว้าแชมป์รายการดังมากมาย จึงตัดสินใจหยุดเรียนและเปลี่ยนเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพ ขณะอยู่ปี 2 ผูกขาดตัวเองเป็นนักกอล์ฟมือหนึ่งของโลกมานานหลายปี


10. มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) : ผู้ก่อตั้ง Facebook
ผู้ ก่อตั้ง Facebook ที่คนทั้งโลกติดกันงอมแงม พัฒนาเฟสบุ๊คกับเพื่อนร่วมชั้น ตั้งแต่ตอนที่เรียนอยู่ที่ ฮาวาร์ด หลังจากที่เฟสบุ๊คได้รับความนิยมและทำเงินมหาศาล ก็หยุดเรียน เพื่อเป็นผู้บริหารของเฟสบุ๊คเต็มตัว ปัจจุบันเป็นมหาเศรษฐีที่อายุน้อยที่สุดในโลก
*จะดีมั้ยถ้าประเทศไทย วัดคุณภาพคนและคุณภาพงาน จากตัวตนและผลงานของคนๆนั้นจริงๆ โดยไม่ดูที่ใบปริญญาท
จัดทำโดย นายวราภาส เขียวเกษม ม.5/6 เลขที่ 29

อันตรายจากน้ำมันที่ทอดซ้ำๆ

อันตรายจากการใช้น้ำมันทอดซ้ำ

งานเสริมทำออนไลด์ผ่าน net 100% รายได้ 5 หมื่น บ/ด ขั้นต่ำ ขอย้ำว่าขั้นต่ำ สมัครที่ www.abc.321.cn
          น้ำมันที่ผ่านการทอดซ้ำหลายๆ ครั้งจะมีคุณสมบัติที่เสื่อมลง ทั้งสี กลิ่น รสชาติ ในระหว่างการทอดจะมีสารโพลาร์ที่เกิดจากการแตกตัวของน้ำมันเกิดขึ้น ซึ่งสารโพลาร์ที่เกิดขึ้นนี้สามารถสะสมในร่างกายและส่งผลกระทบต่อการทำงานของเซลล์
 ลดน้ำหนัก 5-10 กก. ใน 1 เดือน ดูข้อมูล/สมัครลดที่ www.freediet.321.cn

          การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า สารที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของน้ำมันทองอาหารเป็นสารก่อกลายพันธุ์และทำให้เกิดมะเร็งบนผิวหนังเกิดเนื้องอกในตับ ปอด และก่อให้เกิดมะเร็งเม็ดเลือดขาวในหนูทดลอง นอกจากนี้สารโพลาร์ยังใช้เป็นตัวชี้วัดการเสื่อมสภาพของน้ำมันโดยรวมได้ ** ลดน้ำหนัก 3-5 กก/เดือน http://zanuk5.courl.net


          การสำรวจตัวอย่างน้ำมันทอดอาหารปี 2548 จากร้านแผงลอยและรถเข็น 529 ตัวอย่าง พบสารโพลาร์เกินข้อกำหนด 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 3.97

ผลกระทบต่อสุขภาพของน้ำมันทอดซ้ำ 
          ทำให้เกิดการเจริญเติบโตลดลง ตับและไตมีขนาดใหญ่ มีการสะสมไขมันในตับ การหลั่งน้ำย่อยทำลายสารพิษในกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นไขมันที่ถูกออกซิไดซ์ปริมาณสูงอาจทำให้ไลโปโปรตีนชนิดแอลดีแอลมีโอกาสเกิดอนุมูลอิสระมากขึ้น จึงมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
                                               
 
          ส่วนไอระเหยจากน้ำมันทอดอาหาร หากสูดดมเป็นระยะเวลานานอาจมีอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากพบความสัมพันธ์ระหว่างการเกิดโรคมะเร็งที่ปอด

คำแนะนำในการใช้น้ำมันทอดอาหาร
          • ไม่ใช้น้ำมันทอดอาหารซ้ำเกินสองครั้ง หากต้องใช้ซ้ำให้เทน้ำมันเก่าทิ้งหนึ่งในสาม และเติมน้ำมันใหม่ก่อนเริ่มการทอดอาหารครั้งต่อไป หากน้ำมันทอดอาหารมีกลิ่นเหม็นหืน เหนียวข้น สีดำ ฟองมาก เป็นควันง่ายและเหม็นไหม้ ไม่ควรใช้ต่อไป
          • ไม่ทอดอาหารไฟแรงเกินไป และรักษาระดับน้ำมัน ในกระทะให้เท่าเดิมเสมอ โปรโมชั่นรับปีใหม่
          • ซับน้ำส่วนเกินบริเวณผิวหน้าอาหารดิบก่อนทอดเพื่อชะลอการเสื่อมสลายตัวของน้ำมัน และทอดอาหารครั้งละไม่มากเกินไป เพื่อลดเวลาใสการทดลอง และหมั่นกรองกากอาหารทิ้งระหว่างและหลังการทอดอาหาร

          • เปลี่ยนน้ำมันทองอาหารบ่อยขึ้น หากทอดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ที่มีส่วนผสมของเกลือหรือเครื่องปรุงรสปริมาณมาก
          • ปิดแก๊สทันทีหลังทอดอาหารเสร็จหากอยู่ระหว่างช่วงพักการทอด ควรราไฟลงหรือปิดเครื่องทอดเพื่อชะลอการเสื่อมสลายตัวของน้ำมันทอดอาหาร
          • เก็บน้ำมันที่ผ่านการทอดอาหารไว้ในภาชนะสแตนเลสหรือแก้วปิดสนิทในที่เย็น และไม่โดนแสงสว่าง
          • ล้างทำความทำสะอาดกระทะหรือเครื่องทอดอาหารทุกวัน น้ำมันเก่ามีอนุมูลอิสระของกรดไขมันอยู่มากจะไปเร่งการเสื่อมสภาพของน้ำมันทอดอาหารใหม่ที่เติมลงไป
          • หลีกเลี่ยงการใช้กระทะเหล็ก ทองแดง ทองเหลือง หรืออลูมิเนียมในการทอดอาหาร เพราะจะไปเร่งการเสื่อมสลายของน้ำมันทอดอาหาร
          • จะเห็นว่าเรื่องภัยน้ำมันทอดซ้ำเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก หากเรามีความรู้และเข้าใจถึงอันตรายจากน้ำมันทอดซ้ำแล้ว ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงจากการใช้น้ำมันทอดซ้ำเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย
          จะเห็นว่าเรื่องภัยน้ำมันทอดซ้ำเป็นเรื่องใกล้ตัวมาก หากเรามีความรู้และเข้าใจถึงอันตรายจากน้ำมันทอดซ้ำแล้ว ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงจากการใช้น้ำมันทอดซ้ำเพื่อสุขภาพและความปลอดภัย.
                                       


ที่มา http://www.prd.go.th/Article/saranaroo.php?id=565b1&bow=00000001097&code=565b1


น.ธนวุฒิ ทองงาม ม.5/6 เลขที่ 25 

10 สุดยอดรถแพงปี 2011 (นายวราภาส เขียวเกษม ม.5/6 เลขที่29)


การจัดอันดับรถแพงนั้น แน่นอนว่า มันจะต้องเป็นศูนย์รวมของรถสปอร์ตหรือรถหรูมูลค่าหลายล้านบาท ที่คนอย่างเราๆ ท่านๆ อาจจะไม่มีวันได้สัมผัส ทว่า รถทั้ง 10 คัน ที่ถูกหวยสักครั้งต้องไปซื้อนั้น มีอะไรบ้างวันนี้เราจะพาทุกท่านไปชมกัน

อันดับที่ 10 SC Ultimate Aero
เจ้าสถิติความเร็วตัวยง 412 กิโลเมตรที่ถูกบันทึกไว้ได้โดย กินเนสบุ๊คนั้น คงไม่ใช่รถที่ใครจะสัมผัสได้ง่ายๆ เพราะมันมีค่าตัวถึง 740,000 ดอลล่าร์ นี่ยังไม่นับค่าดูแลรักษาที่ต้องการเป็นพิเศษ และแม้มันจะเริ่มแก่ไปนิด แต่ความเก๋าของมันนั้น ยังมีอยู่กับสถิตเจ้าความเร็วที่เพิ่งโดน Bugati Veyron Super Sport ลบไปในปีนี้

อันดับที่ 9 Leblanc Mirabeau

ค่ายผู้ผลิตรถยนต์จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ตามเข้ามาในอันดับนี้ กับรถที่เป็นสปอร์ตดิบๆ แต่ราคาแพงเหลือร้ายกว่า 765,000 ดอลล่าร์ Leblanc Mirabeau นั้นเป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์เปิดหน้าต่างไร้กระจก ให้ความดิบดุดัน ด้วยเครื่องวางกลางขับหลัง ตามสไตล์การแข่งขันรถ Le-mans ซึ่งรถรุ่นนี้พกแรงม้ามากว่า 700 ตัว ทางด้านหลังคุณ รับรองไม่มีวันไปทำงานสายๆแน่ๆ

อันดับที่ 8 Koenigsegg CCX

ขยับกันขึ้นมาอีกนิดสำหรับรถสปอร์ตมูลค่า หลัก กับ Koenigsegg CCX ที่มีมูลค่ากว่า 1.1 ล้าน ดอลล่าร์ ค่าตัวที่แพงแลกกับอัตตราเร่ง 0-100 กม/ชม ในเวลาเพียง 3.2 วินาที และ ใน 9.8 วินาที มันก็สามารถพาคุณถึงความเร็วที่ 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วสูงสุดของรถรุ่นนี้มีรายงานว่าสามารถทะลุเพดานได้กว่า 400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ยังไม่มีการยืนยันเรื่องดังกล่าวอย่างเป็นทางการ

อันดับที่ 7 Koenigsegg CCXR

ค่าตัว 1.3 ล้านดอลล่าร์ กับเวอร์ชั่นเพิ่มความแรงของ Koenigsegg CCX นั้นถือเป็นอะไรที่น่าสนใจอย่างมาก สำหรับเศรษฐี โดยเฉพาะเมื่อเครื่องยนต์ V8 พร้อม Supercharger สามารถทำแรงม้าได้กว่า 806เมื่อคุณเลือกใช้ ออกเทน 98 แต่ที่น่าสนใจคือรถรุ่นนี้รองรับการใช้งานของ E85 และ E 100 ซึ่งเมื่อได้รับน้ำมันดังกล่าวนั้น มันจะมีพละกำลังกว่า 1,018 แรงม้า เลยทีเดียว

อันดับที่ 6 Maybach Landaulet

Maybach Landaulet ที่มาพร้อมค่าตัว 1.4 ล้านดอลล่าร์นั้น มันอาจจะไม่ใช่ รถสปอร์ตพันธุ์แรงมากมายเหมือนที่ผ่านมาแต่น่าสนใจด้วยความหรูหราและแน่นนอนขุมพลัง V12 พร้อมแรงม้า 612 แรงม้านั้น อาจมองไม่คุ้มค่ากับที่จะจ่าย แต่ถ้าคุณรู้ว่ารถรุ่นนี้หรูเพียงใด คงอาจจะไม่ปฏิเสธที่จะอยากได้มัน

อันดับที่ 5 Lamborghini Reventon

เจ้ากระทิงดุ ชื่อแปลกๆ ผลิตออกมาจำหน่ายเพียง 20 คัน พร้อมค่าตัวสุดแพงกว่า 1.42 ล้านดอลล่าร์นั้น เป็นอะไรที่หลายคนคงชอบ และแน่นอน ค่าตัวที่แสนแพงมาพร้อมความแรงจากเครื่องยนต์ V12 ที่ทะยานได้ว่องไว และคล่องตัวในทุกสมรรถนะการขับขี่กับ ระบบขับเคลื่อน ล้อ

อันดับที่ 4 Lamborghini Reventon Roadster

เจ้ากระทิงดุพันธ์แรงเวอร์ชั่นโรดสเตอร์นั้น ตามมาติดๆ และมันขึ้นนำในเรื่องความแพงกว่าเวอร์ชั่นธรรมดา สูงถึง 1.56 ล้านดอลล่าร์ และทุกอย่างมีความสวยงามมากกว่าเดิม จนน่าหามาใช้สักคัน

อันดับที่ 3 Roadster Pagani Zonda Cinque

อีกหนึ่งสปอร์ตพันธุ์แรงแดนมักกะโรนี ที่แพงและความแรงที่ไม่เป็นสองรองใครอยู่แล้ว ค่าตัวกว่า 1.8 ล้านดอลล่าร์ของ Roadster Pagani Zonda Cinque ความแพงที่สุดแสนจะบรรยายนี้มาจากเครื่องยนต์ V12ที่บรรจุเอาไว้ในรถให้แรงม้าเพียง 678 แรงม้า แต่มีความแรงในระดับ 0- 100 กม/ชม ในเวลาเพียง 3. 4วินาที และความเร็วปลายให้คุณได้สะใจกว่า 349 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

อันดับที่ 2 Bugatti Veyron Grand Sport

เจ้าVeyron ยังคงแพงเหมือนเคยและครองตำแหน่งในอันดับ ในปีนี้กับค่าตัวระดับ ล้านดอลล่าร์ ที่ไม่ใช่จะเป็นเจ้าของกันง่ายๆเสียด้วย เรื่องสมรรถนะความแรงระดับเจ้าสถิติโลกความเร็วปัจจุบันนั้น คงไม่ต้องพูดถึง แต่ถ้าคุณซื้อเวย์รอนมาขี่ แน่นอนคุณต้องชอบความเร้วและทันสมัย บวกกับความหรูหราของมัน
อันดับที่ 1 Koenigsegg Trevita
แพงที่สุดและหาตัวจับยากที่สุดกับค่าตัว 2.21 ล้านดอลล่าร์ ถือว่าไม่ใช่อะไรที่แพงถ้าคุณกำลังมองหารถหายากที่สุดรุ่นหนึ่งบนถนนกับเจ้า Koenigsegg Trevita ที่เป็นรุ่นพิเศษกว่าเดิม 1,018 แรงม้า จากรุ่นปกติคงเป็นอะไรที่ไม่สามารถพบได้บ่อยนักจากเครื่องยนต์ V8 และแน่นอน มันพิเศษจริงๆ

ถ้าดูดีๆ เราจะพบว่ารถแพงประจำปีนี้นั้น เราไม่เห็นเฟอร์รารี่มาขึ้นโผกันเลย ซึ่งนั่นบ่งบอกถึงอะไรบางอย่าง ที่ทางเฟอร์รารี่ขวัญใจรถในฝันของหลายๆคน อย่างไรก็ดี รถที่แพงแบบนี้เราอาจจะไม่ได้มีโอกาสสัมผัส แต่เราหวังว่าสักวันคงจะได้มีโอกาส


ที่มา : http://auto.sanook.com/1556/10-%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A2%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B9%81%E0%B8%9E%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B5-2011-...%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B9%8A%E0%B8%B2%E0%B8%81/


จัดทำโดย นายวราภาส เขียวเกษม ม.5/6 เลขที่29
แนะนำ 10วิธีคลายเครียดที่น่ารู้" 


                                                     

เราได้ให้ความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับอาหารที่มีประโยชน์มาหลายสัปดาห์แล้วนะคะ พักเรื่องอาหารกันสักนิด วันนี้มีวิธีที่จะคลายความเครียดมาแนะนำเพื่อให้เรามีสุขภาพดีทั้งกายและใจ ดีไหมคะ

1. ออกกำลังกาย -- ใครๆก็พูดได้ว่าออกกำลังกายซิ แต่น้อยคนนักที่จะทำให้เป็นกิจวัตร ได้ เนื่องจากไม่มีเวลา ไม่สะดวกเรื่องการเดินทาง ตื่นเช้าไม่ไหว อุปกรณ์แพง ฯลฯ ความจริงแล้วคุณควรจะหาเวลาของแต่ละวันอย่างน้อย 30 นาที ในการออกกำลังกาย โดยเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับคุณที่สุด ถ้าคุณไม่ต้องการสิ้นเปลืองกับค่าอุปกรณ์ คุณก็น่าจะเลือกการวิ่งหรือเดิน หากเป็นสูงอายุหรือเป็นผู้ที่ไม่ต้องการการกระแทก ว่ายน้ำ,โยคะ, ไทชิ ,หรือ พาลาทีส์ ก็อินเทรนน์ ไม่เลวนะคะ หากอยากมีแรงจูงใจในการออกกำลังกาย ขอแนะนำกีฬาที่เล่นเป็นหมู่คณะอันได้แก่ แบตมินตัน กอลฟ์ ฟุตบอล หรือ เทนนิสที่กำลังฮิตอยู่ในขณะนี้
     กีฬาจะทำให้เราได้ระบายออกซึ่งแรงขับของจิตใจในด้านต่างๆ เช่น ความคับข้องใจ ความโกรธ ความเสียใจ ไม่พอใจ แถมยังได้สารสื่อความสุขหรือสารเอนโดฟินกลับมาด้วยแล้วคุณก็จะรู้สึกสดชื่นและหลับสบายอีกด้วยค่ะ 


 2. พูดระบายความเครียด -- พูดค่ะ ระบายความเครียดออกมาเลย แต่ต้องเลือกบุคคลที่คุณคิดว่า ปลอดภัย หวังดี ไม่มีพิษภัยกับตัวคุณ และควรมีความอดทนสูงในการฟัง หรือถ้าหาไม่ได้ก็นี่เลยค่ะ สัตว์เลี้ยงต่างๆไม่ว่าจะเป็น หมา แมว ปลาทอง จิ้งจก แมลงต่างๆก็ได้ ระบายให้มันฟัง (แต่อย่าลืมปิดประตูลงกลอนด้วย มิเช่นนั้น คนอื่นมาพบเข้าจะหาว่าคุณบ้าพูดคนเดียว) เพราะเวลาที่เราได้ระบายออก เท่ากับเราได้ทบทวนตัวเองไปด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการให้คำปรึกษาแนะนำทางโทรศัพท์จากหน่วยงานต่างๆ ให้บริการด้วยค่ะ

3. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ -- การนอนหลับพักผ่อนช่วยให้คุณสดชื่นขึ้นได้มาก เหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่ในร่างกายใหม่ แต่ควรเตรียมความพร้อมในการนอนหน่อยนะค่ะ โดยเลือกสถานที่และเครื่องนอนสะอาด อากาศถ่ายเทสะดวก อุณหภูมิพอเหมาะ มีเสียงหรือแสงที่รบกวนคุณไม่มากนัก โดยกำหนดจิตใจก่อนนอนว่า ให้เราสดชื่น ผ่อนคลาย เอาเรื่องเครียดปัญหาต่างๆ วางไว้นอกตัว ไม่เอามาคิดตอนนอน แล้วหลับโลดค่ะ ี

4. อาหารคลายเครียด -- กลับมาเรื่องอาหารกันซักนิด อย่างที่เคยบอกไปแล้วนะคะว่าอาหารสามารถลดความเครียดของคุณได้ด้วย วันนี้จะมาย้ำอีกครั้งนะคะ อาหารที่ช่วยคลายเครียดให้คุณได้อย่างดี ได้แก่
1.- ทริปโตฟาน (1-2 กรัม ก่อนนอน) พบได้ใน ไข่ ถั่วเหลือง นมวัว เนื้อสัตว์

2.- วิตามินบี 6 (40 มิลลิกรัมต่อวัน) พบในธัญพืชต่างๆ ยีสต์ รำข้าว เครื่องใน เนื้อ ถั่ว ผัก
3.- วิตามินบี 3 (1,000 มิลลิกรัมต่อวัน) พบใน ตับ เครื่องใน เนื้อ เป็ด ไก่ ปลา ถั่ว ยีสต์
3.- สารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม กระเทียม ดอกไม้จีน 


                                                        
 
5. พักผ่อนท่องเที่ยว -- ข้อนี้ขอ Confirm ว่าจริงค่ะ เพราะคนเราก็เหมือนเครื่องยนต์ ต้องการช่วงพักไปทำการ reboot ใหม่ การที่ได้ไปท่องเที่ยวเห็นบรรยากาศทิวทัศน์สวยงามแปลกหูแปลกตา ไปเจอผู้คน ก็ช่วยกระตุ้นมุมมองชีวิตใหม่ๆ ฝรั่งเขาถึงมีช่วงพักร้อนยาว และให้ความสำคัญอย่างมาก วางแผนล่วงหน้ายาวทีเดียว เมื่อถึงเวลาก็ไปพักผ่อนทันที เมื่อกลับมาจากการท่องเที่ยวแล้ว คุณก็จะกลับมาทำงานอย่างมีประสิทธิภาพค่ะ


6. ดนตรีคลายเครียด -- หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับการรักษาโรคด้วยดนตรีหรือดนตรีบำบัดมาแล้วนะคะ ทั้งนี้ก็เพราะดนตรีช่วยทำให้คุณอารมณ์เยือกเย็นลง ผ่อนคลาย ใจสงบ ดนตรีบำบัดมีทั้งเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีชนิดเดียวหรือหลายชนิด เพลงที่มีเสียงคลื่นทะเล เสียงนก เสียงน้ำไหล ฯลฯ หากคุณได้ปิดไฟ จุดเทียน และฟังเพลงเบาๆ หลังจากนั้นก็หลับไปแล้วละก็ ตื่นขึ้นมาน่าจะสดใสหายเครียดได้เยอะเลยล่ะค่ะ

7. กลิ่นบำบัดอโรมาเทอราปี -- วิธีต้องแนะนำไว้ด้วย เดี๋ยวout ค่ะ กลิ่นเป็นอีกสิ่งหนึ่งของการรับรู้ทางสัมผัสที่สื่อถึงอารมณ์และความรู้สึกได้ดี คุณอาจลองจุดธูปหอมกลิ่นที่สดชื่น หรือหยดน้ำมันหอมระเหย ในขณะนอนหรือทำงานเพื่อผ่อนคลายไปด้วย หรือจะแช่น้ำอุ่นๆ ก็ไม่เลวคะ กลิ่นที่เหมาะสมแล้วแต่ชอบและรู้สึกผ่อนคลาย โดยเลือกจากการดมว่ากลิ่นไหนทำให้รู้สึกดี ให้พลัง หรือช่วยผ่อนคลาย กลิ่นที่น่าสนใจ เช่น กลิ่นไม้จันทน์หอม กลิ่นกำยาน สำหรับผ่อนคลาย กลิ่นการบูน กลิ่นส้ม กลิ่นมะนาว สำหรับสร้างความสดชื่น

8. ฝึกหายใจคลายเครียด -- การหายใจช่วยนำอากาศบริสุทธิ์ เข้าสู่ปอด แล้วเดินทางสู่สมองไปตลอดทั่วร่างกาย ลองหายใจโดยการหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ สังเกตว่ากระบังลมขยายออก ท้องป่องออก จากนั้นค่อยๆ หายใจออกช้าๆ ไล่ลมให้ออกมากที่สุด ตอนนี้กระบังลมคุณจะหดสั้นลง ท้องจะแฟบ ถ้าช่วงแรกไม่ถนัดก็เอามือแตะท้องเพื่อปรับและเข้าใจสภาพป่องแฟบของท้องจากการหายใจก่อนแล้วฝึกไปเรื่อยๆ
9. ฝึกการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ -- โดยนำเอาหลักการฝึกหายใจมาประยุกต์ใช้ร่วมด้วย เริ่มด้วยการนั่งหรือนอนในท่าสบายๆ จากนั้นค่อยๆ เกร็งกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ขึ้นมาโดยอาจไล่จากปลายเท้า ข้อเท้า น่อง ต้นขา ลำตัว แขน มือ นิ้ว ไหล่ คอ ศีรษะ และใบหน้า เกร็งไว้สักอึดใจหนึ่ง จากนั้นค่อยๆ ผ่อนคลายย้อนกลับไปโดยเริ่มจากใบหน้า จนถึงปลายเท้า คุณสามารถใช้การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อในยามที่รู้สึกตึงเครียด อึดอัด ไม่สบายใจ หรือแม้แต่ยามที่คุณต้องการให้สมาธิกลับคืน

10.คลายเครียดด้วยการนวด -- ปัจจุบันมีคนสนใจการนวดอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็น นวดแผนไทย นวดเท้า นวดน้ำมัน นวดรักษาโรคเฉพาะที่ ทำให้มีสถาน บริการเกี่ยวกับการนวดหรือ Spa เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด การนวดเป็นการผ่อนคายกล้ามเนื้อและทำให้เลือดลมสูบฉีด ทำให้ผู้ที่ถูกนวดรู้สึกผ่อนคลายและสบายมากยิ่งขึ้น การนวดน้ำมันยังทำให้มีผิวพรรณที่ดีอีกด้วย 


   ทางออกของความเครียดยังมีอีกมากมายค่ะ แต่10วิธีที่แนะนำนี้เป็นวิธีที่ทำได้ง่าย ปลอดภัยด้วยวิธีธรรมชาติค่ะ ความเครียดเป็นสิ่งที่ห้ามกันไม่ได้ สิ่งที่คุณทำได้คือ มีสติ หากรู้ว่าตัวเองเริ่มเครียดแล้วก็ต้องหยุดแล้วลองใช้10วิธีที่แนะนำมาใช้นะคะ 



                                              

http://www.jobpub.com/articles/showarticle.asp?id=626

นาย ธนวุฒิ ทองงาม