เล่าประวัติชาวไทลื้อ ชนชาติไตแห่งสิบสองปันนา


เดิมชาวไทลื้อมีถิ่นที่อยู่บริเวณหัวน้ำของ (น้ำโขง) เมืองลื้อหลวง จีนเรียกว่า "ลือแจง" ต่อมาได้เคลื่อนย้ายลงมาอยู่บริเวณเมืองหนองแส หรือที่เรียกว่าคุนหมิงในปัจจุบัน แล้วย้ายลงมาสู่ลุ่มน้ำของ (น้ำโขง) สิบสองปันนาปัจจุบัน ประมาณศตวรษที่ 12 จึงเกิดมีวีรบุรุษชาวไทลื้อชื่อ เจ้าเจื๋องหาญ ได้รวบรวมหัวเมืองต่าง ๆ ในสิบสองปันนาปัจจุบัน ตั้งเป็นอาณาจักร แจ่ลื้อ (จีนเรียกเซอลี่) โดยได้ตั้งศูนย์อำนาจการปกครองเอาไว้ที่หอคำเชียงรุ่ง นาน 790 ปี ต่อมาถึงสมัยเจ้าอิ่นเมือง ครองราชต่อมาในปี ค.ศ.1579-1583(พ.ศ. 2122-2126) ได้แบ่งเขตการปกครองเป็นสิบสองหัวเมือง แต่ละหัวเมืองให้มีที่ทำนา 1,000 หาบข้าว (เชื้อพันธุ์ข้าว) ต่อมาหนึ่งที่/หนึ่งหัวเมือง จึงเป็นที่มาจนถึงปัจจุบัน
เมืองสิบสองปันนาได้แบ่งเขตการปกครองเอาไว้ในอดีตดังนี้
1. ปันนาเชียงรุ่ง มี 2 เมือง คือเมืองเชียงรุ่ง, เมืองฮำ
2. ปันนาเมืองแจ่ มี 3 เมือง คือเมืองอ๋อง, เมืองงาด, เมืองแจ่
3. ปันนาเมืองหน มี 2 เมือง คือเมืองปาน, เมืองหน
4. ปันนาเมืองเจียงเจื่อง มี 2 เมือง คือเมืองฮาย, เมืองเจื่อง
5. ปันนาเจียงลอ มี 4 เมืองคือเมืองมาง, เมืองงาม, เมืองลางเหนือ, เมืองเจียงลอ
6. ปันนาเมืองลวง มี 1 เมืองคือเมืองโลง
7. ปันนาเมืองลา มี 2 เมือง คือเมืองบาง, เมืองลา
8. ปันนาเมืองฮิง มี 2 เมืองคือเมืองวัง, เมืองฮิง
9. ปันนาเมืองล้า มี 2 เมืองคือเมืองบาน, เมืองล้า
10. ปันนาเมืองพง มี 2 เมืองคือเมืองหย่วน, เมืองพง อีกเมืองส่างกาง ส่างยอง
11. ปันนาเมืองอู๋ มี 2 เมืองคือเมืองอู๋ใต้, เมืองอู๋เหนือ (ปันนานี้ตกเป็นเขตแดนลาวล้านข้าง สมัยฝรั่งเศสปกครองประเทศลาวถึงปัจจุบัน)
12. ปันนาเจียงตอง มี 4 เมืองคือ เมืองบ่อล้า, เมืองอีงู, เมืองอีปัง, เมืองเจียงตอง
จึงเป็นที่มาของคำว่า "สิบสองปันนา"
ในห้วงระหว่างปี ค.ศ.1782-1813 (พ.ศ. 2325-2356) ในยุคฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่ ที่ช่วงเวลานั้นเมืองเชียงใหม่มีจำนวนประชากรบางตา ชาวไทลื้อได้ถูกพระยากาวิละเจ้าเมืองเชียงใหม่ทำการกวาดต้อนลงมายังเมืองเชียงใหม่และหัวเมืองใกล้เคียงตามนโยบาย "เก็บผักใส่ซ้า เก็บข้าใส่เมือง" ดังนี้
แม้พระเจ้ากาวิละจะได้เป็นเจ้าเมืองเชียงใหม่หรือเจ้า หลวงแล้ว ภายในเวลาขณะนั้น ในกำแพงเมืองเชียงใหม่แล้ว ผู้คนยังโหรงเหรงและเงียบเหงา ภายในยังเต็มไปด้วยบรรดาแมกไม้ยังรกรุงรัง จึงถือได้ว่า เป็นยุคฟื้นฟูเมืองเชียงใหม่จริง ๆ พระเจ้ากาวิละและเจ้าน้องทั้ง ๖ คน จึงเริ่มหาทางเพิ่มราษฎรในเมือง โดยการชักชวนและไปตีกวาดต้อนตามหัวเมืองต่าง ๆ ทุกทิศ เริ่มตั้งแต่เมืองฝาง (อำเภอฝาง) ไปจนถึงเมืองเชียงแสน เชียงราย เชียงคำ เชียงของ เมืองปุ เมืองสาด เมืองกาย เมืองพะเยา เมืองเลน เมืองยอง เมืองเชียงตุง เมืองขอน เวียงตองกาย จนถึงสิบสองปันนา ทิศตะวันตกถึงเมืองบนฝั่งแม่น้ำคง (สาละวิน) มีเมืองยวม เมืองแม่ฮ่องสอน เมืองแหง เมืองปาย ฯลฯ ในปี ๒๓๓๒ ก็ได้ชาวบ้านสะต๋อย บ้านวังลุ วังกวาด และบ้านงัวลาย ท่าช้าง บ้านนา และอีกหลายเมือง ซึ่งได้ไปไว้ในที่ต่าง ๆ ในเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง จนถึงแพร่ น่าน ....
ที่มา: chiangmainews.co.th
ในปีค.ศ.1949 (พ.ศ.2492) เหมาจูซี้ (เหมาเซตุง) ได้ยึดอำนาจการปกครอง และได้นำระบอบคอมมิวนิสต์มาใช้ มีการริดรอนอำนาจเจ้าฟ้า ริดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทำให้เจ้าหม่อมคำลือ เจ้าฟ้าในขณะนั้นต้องสูญสิ้นอำนาจลงในปี ค.ศ.1953 (พ.ศ.2496) ชาวไทลื้อในสิบสองปันนาจึงทยอยหลบหนีออกเมืองมาเรื่อย ๆ ต่อมาในปี 1958 (พ.ศ.2501) เหมาเซตุงได้ปฏิวัติวัฒนธรรมครั้งใหญ่ ไทลื้อในสิบสองปันนาจึงหลบหนีออกเมืองมากที่สุดเป็นประวัติการณ์
ชาวไทลื้อสิบสองปันนาที่หนีออกเมืองหลายทิศทางแยกออกได้นี้
สายที่ 1 เข้าสู่เมืองเชียงตุง ประเทศพม่า
สายที่ 2 เข้าสู่เมืองยอง ประเทศพม่า
สายที่ 3 เข้าสู่เมืองสิงห์ เมืองอู๋
สายที่ 4 เข้าสู่ประเทศลาว และไทย
สาเหตุการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานชาวไทลื้อมีหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น
1. ถูกกวาดต้อน
2. เหตุบ้านการเมือง การปกครอง
3. ติดตามญาติพี่น้องที่มาก่อนแล้ว
4. หาแหล่งทำกินที่มีความอุดมสมบูรณ์ และมีความสงบสุขร่มเย็น มีภูมิประเทศที่เหมาะสม
ในประเทศไทยมีไทลื้ออยู่หลายจังหวัด ดังนี้
1. จังหวัดเชียงราย อ.แม่สาย, แม่จัน, เชียงแสน, เชียงของ, เวียงแก่น, แม่สรวย, เวียงป่าเป้า, แม่ฟ้าหลวง, เทิง, พาน
2. จังหวัดเชียงใหม่ อ.สะเมิง, ดอยสะเก็ด, วังเหนือ, แม่อาย
3. จังหวัดลำพูน อ.บ้านธิ, ป่าซาง, บ้านโฮ่ง, ลี้
4. จังหวัดลำปาง อ.แม่ทะ, เมือง
5. จังหวัดพะเยา อ.เชียงคำ, เชียงม่วน, จุน, ปง
6. จังหวัดน่าน อ.ปัว, สองแคว, ทุ่งช้าง
7. จังหวัดแพร่
วิถีชีวิตความเป็นอยู่

ที่ตั้งบ้านเรือน หรือหมู่บ้าน จะหาทำเลที่มีแม่น้ำลำคลองอยู่ใกล้หมู่บ้านและสะดวกในการเพาะปลูก ดำเนินชีวิตแบเรียบง่าย พอเพียง พึ่งพาตนเอง ชาวไทลื้อมักจะอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม มีความเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน การสร้างบ้านเรือนแต่ละหลังในหมู่บ้าน คนทั้งหมู่บ้านจะมาช่วยกัน เวลาเก็บเกี่ยวข้าวก็จะช่วยกันให้เสร็จไปทีละเจ้า แต่เจ้าของนานั้นต้องได้ไปช่วยเขามาก่อนแล้ว ถ้าหนุ่มสาวคนใดเกียจคร้าน พ่อแม่บ่าวสาวจะตั้งข้อรังเกียจ ไม่ยอมให้แต่งงานด้วย
นิสัยใจคอ
ไม่ชอบความรุนแรง รักสงบ รักความสะอาด เรียบร้อย รักสวยรักงาม จิตใจเยือกเย็นสุขุม ซื่อสัตย์ สุจริจ มุ่งมั่น ขยันอดทน มีความหมั่นเพียร อ่อนน้อมถ่อมตน อ่อนหวาน เคารพนับถือพ่อแม่ ผู้มีอาวุโส ปู่ย่า ตาทวด บรรพบุรุษ
อาชีพ
ในปัจจุบัน ทำไร่ทำนา เลี้ยงสัตว์ ค้าขาย รับราชการฯลฯ
จุดเด่นกับความภาคภูมิใจของไทลื้อ
1. ความรักหมู่คณะ และรักชาติกำเนิดมีเอกลักษณ์ทางภาษา การแต่งกายเป็นของตนเอง
2. มีความรักสงบ รู้รักสามัคคี มีเมตตา ซื่อสัตย์
3. มีความสันโดษ มักน้อย
4. มีความเพียร มุ่งมั่น ขยัน อดทน มุมานะ
5. ยึดมั่นใน ชาติ ศาสนา พราะมหากษัตริย์
ศิลปะการแสดงของไทลื้อ
ฟ้อนดาบ ฟ้อนเจิง ตบมะพาบ ฟ้อนนก ฟ้อนปอยบั้งไฟ ขับเป่าปี่ ขับป่าหาโหล (เข้าป่าหาฟืน) ขับโลงน้ำ โลงหนอง (ลงน้ำ ..ขับเกี้ยวบ่าว-สาว)
วัฒนธรรมประเพณี
บวชลูกแก้ว ตานธรรม ตานก๋วยสลาก ตานเข้าพรรษา ออกพรรษา ฮ้องขวัญควาย แฮกนา เลี้ยงผีเมือง เตวดาเฮือน (เทวดาเรือน) ผีหม้อนึ่ง เตาไฟ ผิดผีสาว สืบชาตาหลวง กินแขก ประเพณีสงกรานต์ สูมาดำหัวผู้เฒ่าผู้แก่
เทศกาลแต่ละเดือนใน 12 เดือนมีกิจกรรมดังนี้
เดือนเจี๋ยง (เดือนอ้าย) ปอยขึ้นพระธาตุ ขึ้นเรือนใหม่ กินแขก (แต่งงาน)
เดือนกรรม เข้ากรรม (อยู่ปริวาสกรรม) ตานข้าวใหม่
เดือนสาม เลี้ยงผีเมือง ปี๋ใหม่ไตลื้อ
เดือนสี่ สืบชาตาหลวง บวชตุ๊ กินแขก ขึ้นเฮือนใหม่
เดือนห้า ตานหมู่ข้าวน้อย ตานกองทรายพันกอง
เดือนหก ปอยสงกรานต์ปีใหม่เดือนหก ปอยบอกไฟสิรวด (ขอฝนพระยาแถน) กินแขก ขื้นเฮือนใหม่
เดือนเจ็ด ปอยแรกนา (ปักเสาแรกนาในนา บูชาขวัญข้าว)
เดือนแปด ปอยพระบาท (บูชาชักผ้ารอยพระพุทธบาท)
เดือนเก้า ตานเข้าพรรษา ตานข้าวหยาดน้ำ ตานธรรม อุทิศส่วนกุศลไปหาญาติพี่น้องผู้มีพระคุณ ที่ล่วงลับไปแล้ว
เดือนสิบ ตานหมู่ข้าว ผู้เฒ่าผู้แก่
เดือนสิบเอ็ด ปอยตานธรรมมหาปาง
เดือนสิบสอง ปอยออกพรรษา ตานต้นแปก (ต้นเกี๊ยะ) จิกองโหล บอกไฟดอก

ผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน
ผ้าทอ เครื่องจักสาน ทำเครื่องเงิน ทำเครื่องทอง ตีเหล็ก ตีมีด ทำเคียว ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ปั้นหม้อ
อาหารการกิน
น้ำหมี่ (น้ำพริก) ปู , น้ำหน่อ, น้ำผัก, มะเขือส้ม, ถั่วเน่า, ปลา, แม้ (รถด่วน), จิ้น ฯลฯ
อาหารคาว/แกง
จิ้นส้า (ลาบ) แกงอ่อม, ปลาปิ้งอบ, จิ้นไก่อุบ, ข้าวเหลืองเนื้อไก่, จิ้นซำพริก, ซีจิ้น (แกงส้มจิ้น) แกงหน่อไม้, ไกน้ำของ , (ตะใคร่น้ำแม่โขง) ส้มหนัง, น้ำหนัง, ส้มผักกุ่ม, ส้มผักกาด, จิ้นไก่หมี่ (ต้มยำจิ้นไก่) ตุ่งด้าง (แกงกระด้าง) แกงหน่อไม้, หลามบอน, เป๊อะหว่าง (เลือดกระด้าง) ฯลฯ
อาหารว่าง
ข้าวโคบ, ข้าวแคบ, ข้าวแล่งฟืน, ข้าวต่อ, ข้าวแต๋น, ข้าวเม็ดก่าย, ข้าวลอดซอง (ลอดช่อง), น้ำอ้อยก้อน, ข้าวส่วย, ข้าวฟืนน้ำอ้อย, ข้าวเหลืองน้ำอ้อย, ข้าวจี่งา, ข้าวจี่หมวก ฯลฯ
นาย ธนวุฒิ ทองงาม ม.5/6 เลขที่ 25
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น