วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

คลื่นแห่งความทำลายล้าง (นาย ธนวุฒิ ทองงาม)

สึนามิ


สึนามิ เป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า Harbour Wave คำแรก สึ แปลว่า harbour คำที่สอง นามิ แปลว่า คลื่น ปัจจุบันใช้เป็นคำเรียก กลุ่มคลื่นที่มีความยาวคลื่นมากๆขนาดหลายร้อยไมล์ นับจากยอดคลื่นที่ไล่ตามกันไป เกิดขึ้นจากการที่น้ำทะเลในปริมาตรเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ถูกผลักดันให้เคลื่อนที่ในแนวดิ่ง ด้วยเหตุมาจากการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกส่วนที่อยู่ใต้ทะเลลึก บางครั้งก็เรียกว่า seismic wave เพราะส่วนใหญ่เกิดจากการเคลื่อนไหวดังกล่าว เรามักจะสับสนกับคำว่า สึนามิ กับ tidal wave ซึ่งเกิดจากน้ำขึ้นน้ำลง แต่ สึนามิ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับการขึ้นลงของน้ำเลย



สึนามิ ส่วนใหญ่ เกิดจากการเคลื่อนตัวของเปลือกโลกใต้ทะเลอย่างฉับพลัน อาจจะเป็นการเกิดแผ่นดินถล่มยุบตัวลง หรือเปลือกโลกถูกดันขึ้นหรือยุบตัวลง ทำให้มีน้ำทะเลปริมาตรมหาศาลถูกดันขึ้นหรือทรุดตัวลงอย่างฉับพลัน พลังงานจำนวนมหาศาลก็ถ่ายเทไปให้เกิดการเคลื่อนตัวของน้ำทะเลเป็น คลื่นสึนามิ ที่เหนือทะเลลึก จะดูไม่ต่างไปจากคลื่นทั่วๆไปเลย จึงไม่สามารถสังเกตได้ด้วยวิธีปกติ แม้แต่คนบนเรือเหนือทะเลลึกที่ คลื่นสึนามิ เคลื่อนผ่านใต้ท้องเรือไป ก็จะไม่รู้สึกอะไร เพราะเหนือทะเลลึก คลื่นนี้ สูงจากระดับน้ำทะเลปกติเพียงไม่กี่ฟุตเท่านั้น จึงไม่สามารถแม้แต่จะบอกได้ด้วยภาพถ่ายจากเครื่องบิน หรือยานอวกาศ



นอกจากนี้แล้ว สึนามิ ยังเกิดได้จากการเกิดแผ่นดินถล่มใต้ทะเล หรือใกล้ฝั่งที่ทำให้มวลของดินและหิน ไปเคลื่อนย้ายแทนที่มวลน้ำทะเล หรือภูเขาไฟระเบิดใกล้ทะเล ส่งผลให้เกิดการโยนสาดดินหินลงน้ำ จนเกิดเป็นคลื่น สึนามิ ได้ ดังเช่น การระเบิดของภูเขาไฟ คระคะตัว ในปี ค.ศ. ๑๘๘๓ ซึ่งส่งคลื่น สึนามิ ออกไปทำลายล้างชีวิตและทรัพย์สินของผู้คนในเอเชีย มีจำนวนผู้ตายถึงประมาณ ๓๖,๐๐๐ ชีวิต


นอกเหนือไปจากนั้น ในกรณีที่มีความเป็นไปได้ไม่สูงมากนัก คือการที่เกิดอุกกาบาตตกใส่โลก ดังเช่นที่เกิดขึ้นเมื่อ ๖๕ ล้านปีมาแล้ว ทำลายล้างชีวิตบนโลกเป็นส่วนใหญ่ สรุปแล้วก็คือ สึนามิ จะเกิดขึ้นเมื่อ น้ำทะเลในปริมาตรมหาศาล ถูกผลักดันให้เคลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมในแนวดิ่ง อย่างฉับพลันกระทันหันชั่วพริบตา ด้วยพลังงานมหาศาล น้ำทะเลก็จะกระจายตัวออกเป็นคลื่น สึนามิ ที่เมื่อไปถึงฝั่งใด ความพินาศสูญเสียก็จะตามมาอย่างตั้งตัวไม่ติด

http://www.vcharkarn.com/varticle/267

นาย ธนวุฒิ ทองงาม ม.5/6 เลขที่ 25 

วันอังคารที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555

ไขปริศนาพายุหิมะ โลกร้อนหรือโลกเย็นกันแน่ !! (นาย วราภาส เขียวเกษม ม.5/6 เลขที่ 29)



ภาพ www.thefirstpost.co.uk
สภาพอากาศหนาวเย็นที่เกิดขึ้นทางซีกโลกเหนือไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา อังกฤษ  ยุโรป หรือจีน  ที่หลายแห่งทำลายสถิติในรอบ 10 ปี 30 ปี 60 ปีไปจนถึง 100 ปี และยังแผ่ลงไปจนถึงรัฐฟลอริด้าซึ่งอยู่ทางใต้ซึ่งปกติเป็นเขตอบอุ่น  ทำให้ป่วนไปหมดทั้งคน  สัตว์  พืช  ต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
นักวิทยาศาสตร์หลายสำนัก พยายามจะอธิบายปรากฏการณ์หนาวที่เกิดขึ้น คำอธิบายชุดหนึ่งก็คือ  เป็นเพราะการแกว่งตัวตามวงรอบของมวลอากาศเย็นของอาร์กติกและแอตแลนติกเหนือ  การแกว่งตัวของมวลอากาศถ้าจะอธิบายอย่างง่ายๆ ก็คงเหมือนกับเราไกวเปล  ก็จะมีจังหวะที่เปลขึ้นสูงสุด  และลงต่ำสุด  สลับกันไปในจังหวะที่แน่นอน  และมีวงรอบที่แน่นอน  เช่น 10 ปี 15 ปี เป็นต้น  จังหวะที่ทำให้หนาวเย็นก็คือ ช่วงที่มวลอากาศจากอาร์กติกและแอตแลนติกเหนือแกว่งไปถึงจุดสูงสุด  ที่น่าสนใจก็คือชุดของการแกว่งตัวนี้มีอยู่นับพันชุด  แต่ละชุดมีวงรอบของการแกว่งตัวที่ทำให้เกิดอากาศเย็นเป็นระยะเวลาไม่เท่ากัน 
ดร.อานนท์  สนิทวงศ์ ณ อยุธยา  ผู้อำนวยการศูนย์เครือข่ายงานวิเคราะห์วิจัยและฝึกอบรมการเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  สันนิษฐานว่าความหนาวเย็นที่เกิดขึ้นในปีนี้  เกิดจากวงรอบของการแกว่งตัวที่นำความหนาวเย็นแต่ละชุดเกิดขึ้นพร้อมกันเป็นจำนวนมาก จึงเสริมกันทำให้ยิ่งมีความหนาวเย็นมาก ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ค่อนข้างยาก แถมยังอาจถูกเสริมด้วยความปั่นป่วนและแปรปรวนของสภาพอากาศที่เป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน  จึงทำให้อากาศหนาวจนถึงขั้นทำลายสถิติในรอบหลายสิบถึงร้อยปี  แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่มีใครอธิบายได้ว่า อะไรเป็นตัวควบคุมการแกว่งตัวดังกล่าว
อีกทฤษฎีหนึ่งก็พยายามจะอธิบายด้วยระบบกระแสน้ำโลก โดยนักสมุทรศาสตร์ทั่วโลกกำลังจับตาความเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนของกระแสน้ำอุ่นและน้ำเย็น 

ปกติเส้นทางการเคลื่อนตัวของกระแสน้ำโลก  หรือ Great Ocean Conveyor Belt  จะรับเอาความอบอุ่นบริเวณศูนย์สูตรมาถ่ายเทให้บริเวณยุโรปและอเมริกาให้ไม่เย็นจนเกินไป  และรับเอาความเย็นของซีกโลกเหนือลงไปให้บริเวณศูนย์สูตรเพื่อไม่ให้ร้อนจนเกินไป  แต่การไหลของกระแสน้ำนี้กำลังถูกจับตาว่ามันเคลื่อนตัวช้าลง  เพราะโลกร้อนที่ทำให้น้ำแข็งละลายลงไปในมหาสมุทรจำนวนมหาศาลนั้น ทำให้กระแสน้ำเย็นลงจนเคลื่อนตัวช้าลง  การถ่ายเทความอบอุ่นไปซีกโลกเหนือจึงไม่ดีเหมือนเดิม ผลที่ตามมาคือเกิดความหนาวเย็นสุดขั้วขึ้น  เป็นหลักการเดียวกันกับเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง The Day After Tomorrow แต่การเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลันแบบในหนังนั้นก็แทบไม่มีโอกาสเป็นไปได้
สำหรับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ดร.อานนท์  บอกด้วยว่า ต้องดูความถี่ว่าเกิดถี่ขึ้น หรือเกิดขึ้นทุกปีหรือไม่  ถ้าเกิดบ่อยขึ้นหรือทุกปี ก็อาจส่อให้เห็นว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับของภูมิอากาศโลก  ไม่ใช่แค่สภาพอากาศเฉพาะในช่วงฤดูนั้นๆ ของแต่ละปี  แต่จะต้องใช้เวลาเก็บข้อมูลอย่างละเอียดไม่น้อยกว่า 30 ปีจึงจะชี้ชัดได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุนี้จริงหรือไม่
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร  เราคงไม่จำเป็นต้องรอหาสาเหตุ  สิ่งที่เราทำได้เลยคือ  ลดโลกร้อน  ด้วยการบริโภคทุกอย่างแต่พอดี

ที่มา http://www.greenworld.or.th/columnist/situation/427


จัดทำโดย นาย วราภาส  เขียวเกษม ม.5/6 เลขที่ 29

วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

Basketball(นาย จีรพัฒน์ อัตตกิจกุล)



                                   Basketball




บาสเกตบอล ( Basketball) เป็นกีฬาประจำชาติอเมริกัน ถูกคิดขึ้น เพื่อต้องการช่วยเหลือบรรดาสมาชิก Y.M.C.A. ได้เล่นกีฬาในฤดูหนาว เนื่องจากในช่วงฤดูหนาวสภาพพื้นภูมิประเทศโดยทั่วๆไป ถูกหิมะปกคลุม อันเป็นอุปสรรคในการเล่นกีฬากลางแจ้ง เช่น อเมริกันฟุตบอล เบสบอล คณะกรรมการสมาคม Y.M.C.A. ได้พยายามหาหนทางแก้ไขให้บรรดาสมาชิกทั้งหลายได้เล่นกีฬาในช่วงฤดูหนาวโดย ไม่บังเกิดความเบื่อหน่าย

ในปี ค.ศ.1891 Dr.James A.Naismith ครูสอนพลศึกษาของThe International Y.M.C.A. Training School อยู่ที่เมือง Springfield รัฐ Massachusetts ได้รับมอบหมายจาก Dr.Gulick ให้เป็นผู้คิดค้นการเล่นกีฬาในร่มที่เหมาะสมที่จะใช้เล่นในช่วงฤดูหนาว Dr.James ได้พยายามคิดค้นดัดแปลงการเล่นกีฬาอเมริกันฟุตบอลและเบสบอลเข้าด้วยกันและ ให้มีการเล่นที่เป็นทีม

ในครั้งแรก Dr.James ได้ใช้ลูกฟุตบอลและตะกร้าเป็นอุปกรณ์สำหรับให้นักกีฬาเล่น เขาได้นำตะกร้าลูกพีชไปแขวนไว้ที่ฝาผนังของห้องพลศึกษา แล้วให้ผู้เล่นพยายามโยนลูกบอลลงในตะกร้านั้นให้ได้ โดยใช้เนื้อที่สนามสำหรับเล่นให้มีขนาดเล็กลงแบ่งผู้เล่นออกเป็นข้างละ 7 คน ผลการทดลองครั้งแรกผู้เล่นได้รับความสนุกสนานตื่นเต้น แต่ขาดความเป็นระเบียบ มีการชนกัน ผลักกัน เตะกัน อันเป็นการเล่นที่รุนแรง

ใน การทดลองนั้น ต่อมา Dr.James ได้ตัดการเล่นที่รุนแรงออกไป และได้ทำการวางกติกาห้ามผู้เล่นเข้าปะทะถูกเนื้อต้องตัวกัน นับได้ว่าเป็นหลักเบื้องต้นของการเล่นบาสเกตบอล Dr.James จึงได้วางกติกาการเล่นบาสเกตบอลไว้เป็นหลักใหญ่ๆ 4 ข้อ ด้วยกัน คือ

1.  ผู้เล่นที่ครอบครองลูกบอลอยู่นั้นจะต้องหยุดอยู่กับที่ห้ามเคลื่อนที่ไปไหน ประตูจะต้องอยู่เหนือศีรษะของผู้เล่น และอยู่ขนานกับพื้น

2.  ผู้เล่นสามารถครอบครองบอลไว้นานเท่าใดก็ได้ โดยคู่ต่อสู้ไม่อาจเข้าไปถูกต้องตัวผู้เล่นที่ครอบครองบอลได้

3.  ห้ามการเล่นที่รุนแรงต่างๆโดยเด็ดขาด ผู้เล่นทั้งสองฝ่ายจะต้องไม่กระทบกระแทกกัน

เมื่อ ได้วางกติกาการเล่นขึ้นมาแล้วก็ได้นำไปทดลอง และพยายามปรับปรุงแก้กไขระเบียบดีขึ้น เขาได้พยายามลดจำนวนผู้เล่นลงเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะกัน จนในที่สุดก็ได้กำหนดตัวผู้เล่นไว้ฝ่ายละ 5 คน ซึ่งเป็นจำนวนที่เหมาะสมที่สุดกับขนาดเนื้อที่สนามDr.James ได้ทดลองการเล่นหลายครั้งหลายหน และพัฒนาการเล่นเรื่อยมา จนกระทั่งเขาได้เขียนกติกาการเล่นไว้เป็นจำนวน 13 ข้อ ด้วยกัน และเป็นต้นฉบับการเล่นที่ยังคงปรากฏอยู่บนกระดานเกียรติยศในโรงเรียนพลศึกษา ณ Springfield อยู่จนกระทั่งทุกวันนี้



กติกา 13 ข้อ ของ Dr.James มีดังนี้

1. ผู้เล่นห้ามถือลูกบอลแล้ววิ่ง

2. ผู้เล่นจะส่งบอลไปทิศทางใดก็ได้ โดยใช้มือเดียวหรือสองมือก็ได้

3. ผู้เล่นจะเลี้ยงบอลไปทิศทางใดก็ได้ โดยใช้มือเดียวหรือสองมือก็ได้

4. ผู้เล่นต้องใช้มือทั้งสองเข้าครอบครองบอล ห้ามใช้ร่างกายช่วยในการครอบครองบอล

5. ในการเล่นจะใช้ไหล่กระแทก หรือใช้มือดึง ผลัก ตี หรือทำการใดๆให้ฝ่ายตรงข้ามล้มลงไม่ได้ ถ้าผู้เล่นฝ่าฝืนถือเป็นการฟาวล์ 1 ครั้ง ถ้า ฟาวล์ 2 ครั้ง หมดสิทธิ์เล่น จนกว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำประตูกันได้จึงจะกลับมาเล่นได้อีก ถ้าเกิดการบาดเจ็บระหว่างการแข่งขัน จะไม่มีการเปลี่ยนตัวผู้เล่น

6. ห้ามใช้ขาหรือเท้าแตะลูก ถือเป็นการฟาวล์ 1 ครั้ง

7. ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำฟาวล์ติดต่อกัน 3 ครั้ง ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ประตู

8. ประตูที่ทำได้หรือนับว่าได้ประตูนั้น ต้องเป็นการโยนบอลให้ลงตะกร้า ฝ่ายป้องกันจะไปยุ่งเกี่ยวกับประตูไม่ได้เด็ดขาด

9. เมื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดทำลูกบอลออกนอกสนาม ให้อีกฝ่ายหนึ่งส่งลูกเข้ามาจากขอบสนามภายใน 5 วินาที ถ้าเกิน 5 วินาที ให้เปลี่ยนส่ง และถ้าผู้เล่นฝ่ายใดพยายามถ่วงเวลาอยู่เสมอให้ปรับเป็นฟาวล์

10. ผู้ตัดสินมีหน้าที่ตัดสินว่าผู้เล่นคนใดฟาวล์ และลงโทษให้ผู้เล่นหมดสิทธิ์

11. ผู้ตัดสินมีหน้าที่ตัดสินว่าลูกใดออกนอกสนาม และฝ่ายใดเป็นฝ่ายส่งลูกเข้าเล่น และจะทำหน้าที่เป็นผู้รักษาเวลาบันทึกจำนวนประตูที่ทำได้ และทำหน้าที่ทั่วไปตามวิสัยของผู้ตัดสิน

12. การเล่นแบ่งออกเป็น 2 ครึ่งๆละ 20 นาที

13. ฝ่ายที่ทำประตูได้มากที่สุดเป็นผู้ชนะ ในกรณีคะแนนเท่ากันให้ต่อเวลาออกไป และถ้าฝ่ายใดทำประตูได้ก่อนถือว่าเป็นฝ่ายชนะิ   









 


http://www.sport-za.com

สุรามีแต่ความร้ายแรงต่อร่างกาย

 โรคตับและการดื่มสุรา
            เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสุรานั้น เป็นสิ่งซึ่งมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของโลกมามากกว่า 4,000 ปี ตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลเป็นต้นมา ผลข้างเคียงของแอลกอฮอร์ซึ่งพบได้หลังจากดื่มเข้าไปคือทำให้เกิดอารมณ์ดี เมื่อได้รับในขนาดน้อยๆ ไปจนถึงอาละวาดและหมดสติได้ถ้าได้รับในปริมาณมาก โดยทั่วไปแล้วทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า การดื่มสุราสามารถทำให้เกิดโรคตับแข็งได้ อย่างไรก็ตามมิได้หมายความว่าผู้ที่ดื่มสุราทุกคนจะต้องเป็นโรคตับแข็งเสมอ ไป




               เครื่องดื่มที่ประกอบด้วยแอลกอฮอล์นั้นมีหลายประเภทด้วยกันเช่น เครื่องดื่มเบียร์ มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 4 กรัมต่อเบียร์ 100 มิลลิลิตร การดื่มเบียร์ประมาณ 1 กระป๋อง จะได้รับแอลกอฮอล์ประมาณ 13 กรัม เครื่องดื่มไวน์ มีปริมาณแอลกอฮอล์ 12 กรัม ต่อไวน์ 100 มิลลิลิตร การรับประทานไวน์ 1 แก้วปกติ จะได้รับแอลกอฮอล์ประมาณ 12 กรัม สำหรับเครื่องดื่มที่เป็นวิสกี้นั้น มีปริมาณแอลกอฮอล์ 40 กรัม ต่อ วิสกี้ 100 มิลลิลิตร การดื่มวิสกี้ประมาณ 2 ฝา จะให้แอลกอฮอล์ประมาณ 15 กรัม ดังนั้นไม่ว่าจะดื่มเครื่องดื่มที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอร์มากหรือน้อย โดยเฉลี่ยแล้วท่านจะได้รับปริมาณแอลกอฮอล์ในระดับใกล้เคียงกัน ในทางการแพทย์ถือว่าการรับประทานแอลกอฮอล์ 12 - 15 กรัม เท่ากับปริมาณแอลกอฮอล์ 1 หน่วย จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 80 กรัมหรือ 5 หน่วย เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี สามารถที่จะก่อให้เกิดผลเสียต่อตับได้ เป็นที่น่าสังเกตว่าบนขวดสุรานั้นไม่มีคำเตือนเกี่ยวกับการเกิดโรคตับ มีแต่การเตือนเพียงว่า "การดื่มสุราทำให้ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะลดลง" ซึ่งไม่เหมือนกับคำเตือนบนซองบุหรี่ที่ว่า "สูบบุหรี่มีพิษต่อร่างกาย" ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่บริโภคสุราในปริมาณดังที่กล่าวแล้วมีเพียงร้อยละ 15 - 20 เท่านั้นที่จะเกิดตับแข็ง ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบที่ดีพอที่จะอธิบายว่าเพราะเหตุใด ผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์จำนวนมากส่วนใหญ่จึงมิได้เป็นตับแข็ง
ผลกระทบของแอลกอฮอล์ที่มีต่อตับนั้นพอจะแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะด้วยกันได้แก่
  1. ไขมันสะสมในตับ (Alcoholic fatty liver ) เป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะเริ่มต้น จากการตรวจทางพยาธิวิทยาพบว่า มีการสะสมของไขมันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง triglyceride เพิ่มขึ้นในเซลล์ตับ ผู้ป่วยในระยะนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่มีอาการใดๆ การตรวจร่างกายอาจพบว่าตับมีขนาดใหญ่ ผิวเรียบ นุ่ม และกด ไม่เจ็บ การตรวจเลือดอาจพบความผิดปกติเล็กน้อย ไม่เฉพาะเจาะจง ผู้ป่วยในระยะนี้ถ้าหยุดดื่มสุราตับจะสามารถกลับเป็นปกติโดยไม่มีพยาธิสภาพ ตกค้างอยู่แต่อย่างใด ในกรณีซึ่งยังดื่มอยู่ก็จะมีการลุกลามของโรคไปในระยะ ที่ 2

  2 . ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Hepatitis) ในระยะนี้ เป็นระยะซึ่งผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ได้ด้วยอาการหลายแบบ ตั้งแต่ที่มีอาการน้อย เช่น จุกแน่นที่บริเวณชายโครงด้านขวา ไปจนถึงมีอาการรุนแรง เช่น อาการดีซ่าน ไข้สูง หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางสติสัมปชัญญะตลอดจนตับวายได้ บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการทางสมอง ได้แก่ อาการสับสน วุ่นวาย หรือ อาจหมดสติได้ ผู้ป่วยในระยะนี้ถ้ามีอาการดีซ่านมาก หรือมีการเสื่อมหน้าที่การทำงานของตับจนอาจเกิดตับวาย จะเป็นกลุ่มผู้ที่มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีภาวะขาดสารอาหารและไวตามิน การตรวจร่างกายในระยะนี้มักพบว่าตับจะมีขนาดใหญ่และกดเจ็บ เนื้อของตับเริ่มจะแข็งกว่าระยะแรก การตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการจะพบความผิดปกติของการทำงานของตับได้อย่าง ชัดเจน ผู้ซึ่งหยุดดื่มเหล้าในระยะนี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะอาการดีขึ้นและอาจกลับเป็นปกติได้ สำหรับผู้ที่ยังดื่มต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ก็จะมีโอกาสลุกลามเข้าไปสู่ระยะที่ 3 ที่เรียกว่าตับแข็ง การรักษาคือการหยุดดื่มโดยเด็ดขาด และได้รับอาหารและไวตามินเสริมอย่างเพียงพอ ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือตับวาย ต้องได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์ในโรงพยาบาล
  3. ตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Cirrhosis) เป็นระยะสุดท้ายที่พบว่ามีผังผืดเกิดขึ้นในเนื้อตับ ทำให้ตับมีลักษณะผิวไม่เรียบ ขรุขระ เป็นก้อน และมีขนาดเล็กลงในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยในระยะนี้มักจะมาพบแพทย์ได้ด้วยอาการดีซ่าน ท้องมาน หรืออาเจียนเป็นเลือดสดๆ เนื่องจากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตก เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ที่เป็นตับแข็งยังจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งของตับเพิ่ม ขึ้นอีกด้วย ผู้ที่หยุดดื่มในระยะนี้ตับจะมีการเสียหายอย่างถาวร และจะไม่สามารถกลับเป็นตับปกติได้อีก การหยุดดื่มจะช่วยป้องกันมิให้เกิดการเสียหายต่อเนื้อตับเพิ่มขึ้นกว่าที่ เป็นอยู่แล้ว แต่คงจะไม่สามารถทำให้ตับกลับดีตามเดิมได้ และการดูแลผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งจากแอลกอฮอล์ไม่แตกต่างจากตับแข็งจากสาเหตุ อื่น ๆ การตรวจร่างกายจะพบว่าผู้ป่วยมักมีภาวะทุกขโภชนาการ มีกล้ามเนื้อลีบ มีเส้นเลือดขยายตามผิวหนังในส่วนบริเวณอกและหลัง และริดสีดวงทวาร อาจตรวจพบว่ามีการฝ่อของลูกอัณฑะ และความสามารถทางเพศลงลด การรักษาที่สำคัญของผู้ป่วยกลุ่มนี้คือ การหยุดดื่มโดยถาวรและรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เนื่องจากผู้ป่วยในระยะนี้มักจะอยู่ในภาวะทุกขโภชนา
            เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งหนึ่งที่พบได้ในวงสังคมทั่วไป ทางวงการแพทย์พบว่า การดื่มแอลกอฮอล์วันละไม่เกิน 3 หน่วยในผู้ชาย และไม่เกิน 2 หน่วยในผู้หญิงที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและตับปกติ ไม่น่าที่จะก่อเกิดผลเสียต่อตับ อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวนั้นใช้กับคนยุโรปที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าคนไทย ดังนั้นจึงพอจะอนุโลมในคนไทยได้ว่า ผู้ชายไทยไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 2 หน่วย และผู้หญิงไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 1 หน่วย การดื่มแอลกอฮอร์พร้อมกับอาหารจะมีผลเสียต่อตับน้อยกว่าการดื่มสุราตอนท้อง ว่าง การดื่มสุราน้อย ๆ อย่างสม่ำเสมอจะก่อให้เกิดโทษต่อตับน้อยกว่าการดื่มสุราครั้งละมากเป็นครั้ง ๆ มาเป็นระยะในปริมาณแอลกอฮอล์ที่เท่ากัน ผู้ป่วยที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบชนิด บี ที่ยังมีพยาธิสภาพของตับค่อนข้างที่จะปกติ อาจพอจะรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้บ้าง อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบชนิด ซี แบบเรื้อรัง มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นได้ว่า การดื่มแอลกอฮอล์ มีผลส่งเสริมทำให้การดำเนินของโรค ไวรัสตับอักเสบ ซี แบบเรื้อรังให้ลุกลามอย่างรวดเร็วขึ้น จนเกิดตับแข็งและมะเร็งตับได้เร็วขึ้น และเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่เป็นตับอักเสบชนิด ซี แบบเรื้อรังจึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ผู้ที่เป็นตับอักเสบชนิดบีแบบที่ไม่ใช่เป็นพาหะก็ควรหลีกเลี่ยงรับประทาน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นกัน
               นอกจากนั้นแอลกอฮอร์ยังไปมีผลต่อการทำลายของยาหลายอย่างในร่างกายชึ่งอาจส่ง ผลเสียได้ เช่น ยาลดไข้ พาราเซตตามอล ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะถูกทำลายที่ตับ การดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยเร่งการทำลายของยาพาราเซตตามอล ไปในทางซึ่งก่อให้เกิดสารพิษต่อร่างกายมากขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคตับและรับประทานแอลกอฮอล์ เมื่อรับประทานยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตตามอล ในขนาดปกติซึ่งใช้ได้อย่างอย่างปลอดภัยในคนทั่วไป อาจจะชักนำให้เกิดตับอักเสบอย่างรุนแรงขึ้นได้






 http://www.thailiverfoundation.org/th/cms/detail.php?id=31

นาย ธนวุฒิ ทองงาม ม.5/6 เลขที่ 25

Thaitanium (นาย วราภาส เขียวเกษม ม.5/6 เลขที่ 29)


                                                 Thaitanium
  • ทยเทเนี่ยม (อังกฤษ: Thaitanium) เป็นกลุ่มศิลปินแนวฮิปฮอป สไตล์อเมริกันฮิปฮอป ประกอบด้วยสมาชิก 3 คน คือ ขัน, เดย์ และ เวย์
    สมาชิกวง



  • ขันเงิน เนื้อนวล (ขัน) - “K.H.” King of da Hustle






  • จำรัส ทัศนละวาด (เดย์) - “S.D.” Sunny Day






  • ปริญญา อินทชัย (เวย์) - “P. Cess”



  • ขัน และเดย์ถือสัญชาติไทยโดยกำเนิด ขันเกิดที่กรุงเทพฯ เดย์เกิดที่เชียงใหม่ ในขณะที่สมาชิกคนที่สามผู้มีอายุน้อยที่สุดในกลุ่ม คือเวย์ เกิดและโตในตัวเมืองนิวยอร์กส่วนผสมจากถิ่นกำเนิดอันแตกต่างนี้สามารถเห็น ได้ในงานเพลงที่ผ่านๆมา
    ขันและเดย์รู้จักและสนิทกันในขณะที่ไปศึกษา ต่อ ทั้งคู่ชอบในดนตรีเหมือนกัน พวกเขาค้นพบตัวเองและมุ่งมั่นที่จะเป็นนักดนตรีอาชีพ ทั้งสองได้มาเป็นคู่หู DJ/MC ซึ่งจัดรายการให้กับงานปาร์ตี้สังสรรค์ทั้งหลาย (Jump-Off House Party) ในย่าน Hip-Hop ที่ซานฟรานซิสโก
    หลังจากเรียนจบขันมีแรงดลใจ ให้กลับมายังประเทศไทย ขัน ได้ออกอัลบั้มในนาม ขัน-ที เป็นศิลปินแนวฮิปฮอป ขันได้ทำความรู้จักกับเวย์ ที่กำลังมีผลงานเพลงและภาพยนตร์ขณะนั้น หลังจากนั้นไม่นานพวกเขาที่เป็นเสมือนพี่น้องก็ได้กลับไปนิวยอร์ก
    ดัง นั้นในปี 2000 ที่ New York นี้เอง ไทยเทเนียมจึงได้ถือกำเนิดขึ้น 2 อัลบั้มแรกของพวกเขาคือ “AA” และ “Thai Riders” 2 อัลบั้มถัดมาคือ “P77” และ “R.A.S.” นอกจากงานอัลบั้มของวง สมาชิกแต่ละคนของไทเทเนียมก็มีงานอิสระทำอีกหลายอย่างแตกต่างกันไป เช่น งานแสดง งานเดินแบบ งานหนังสือ และงานภาพยนตร์ นอกจากนั้นพวกเขายังร่วมงานกับศิลปินมากมายอาทิ J.R.O.C., Djay Buddah, Big Calo เป็นต้น
    GMM Grammy ในนาม “สนามหลวง” ได้จับมือร่วมงานกับไทยเทเนียม และ Thaitanium Ent. Inc ในผลงานชุดล่าสุด คือ Thailand's Most Wanted มีเพลงดังอย่างเพลง "โดน" ต่อมาไทยเทเนี่ยมได้ร่วมร้องกับนักร้องสาว ทาทา ยังในเพลง "Dangerous" ในปี 2005 และไทยเทเนี่ยมยังได้ร่วมแสดงเพลง "No Worries (Remix)/ทะลึ่ง" ร่วมกับไซมอน เว็บบ์ ในงานเอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ดสที่จัดที่กรุงเทพในเดือนพฤษภาคม ปี 2006 อีกด้วย ซึ่งพวกเขาก็ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงสาขาศิลปินไทยยอดนิยม ในงานเอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ดส นี้ด้วย
    ต่อมาวันที่ 15 พฤศจิกายน 2006 ไทยเทเนี่ยมมีคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งแรก ชื่อคอนเสิร์ตว่า "MTV LIVE – Thaitanium Uncensored" ที่ BEC-TERO Hall
    มีนาคม 2008 ไทยเทเนียม ออกอัลบั้ม Flipside ที่เป็นอัลบั้มรวมเพลงที่ไม่เคยบรรจุอยู่ที่ไหน อย่างเช่น เพลงประกอบโฆษณา, เพลงประกอบภาพยนตร์, เพลงจากคอนเสิร์ต, เพลงรีมิกซ์ และเพลงจากโปรเจกต์พิเศษ มีซิงเกิ้ลแรกคือ เลยตามเคย
    ไทยเทเนี่ยมยัง ร่วมใน Project East Asian Revolution หรือ Project E.A.R. ร่วมกับศิลปินเอเชียชาติอื่นอย่าง Pop Shuvit, Slapshock, Ahli Fiqir, Silksounds และ Saint Loco โดยได้ร่วมแสดงในงานเอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ดส 2008 ที่ประเทศมาเลเซีย ต่อมาเมื่อ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ไทยเทเนี่ยมเป็นต้นแนวความคิดในการจัดงาน เอเชียนฮิปฮอปเฟสติวัล ที่มีศิลปินต่างชาติมากมายอย่าง Zeebra จากญี่ปุ่น, Master Plan จากเกาหลี, MC Hot Dog จากไต้หวัน, 24Herbs จากฮ่องกง, Joe Flizzow จากมาเลเซีย, Beatmathics จากฟิลิปปินส์, Nas จากอเมริกา
    ในปี 2553 ไทยเทเนี่ยม ออกผลงาน สตูดิโออัลบั้ม ลำดับที่ 4 อัลบั้มฉลองครบรอบ 10 ปี ชุด Still Resisting เป็นอัลบั้มคู่มีเพลง 22 เพลง มีซิงเกิ้ลแรกคือ เพลง สุดขอบฟ้า โดยได้แอ็ด คาราบาว มาร่วมร้องเพลงนี้ด้วยกัน
    ผลงานอัลบั้มที่ผ่านมา
    สตูดิโออัลบั้ม
    • AA (2000)
    • Thai Riders (2002)
    • OST. P77 (2003)
    • R.A.S. (Resisting Against da System) (2004)
    • Thailand's Most Wanted (2005)
    • EP. Thaitanium Limited Edition (2008)
    • Still Resisting (2010)
    อัลบั้มรวม
    • Thaitanium Mix Tape Volume 1
    • Thaitanium Mix Tape Volume 2
    • Thaitanium Mix Tape Volume 3
    • Thaitanium Mix Tape Volume 4
    • Thaitanium Mix Tape Volume 5
    • Thaitanium Special Delivery Mix Tape
    • Mix Tape: The Collectiondd
    • Flipside
    • Thaitanium Ent. Compilation Vol.1 Da Beginning
    • Thaitanium Ent. Compilation Vol.2 Back At It
    แขกรับเชิญ
    • เพลง "Dangerous" ทาทา ยัง, อัลบั้ม Dangerous Tata (2005)
    • เพลง "วอน (Remix)" The Peach Band
    • เพลง "No.1 Lady" ปนัดดา เรืองวุฒิ
    • เพลง "สำเร็จเอง" Kidnapper
    • เพลง "Knock Knock" Gift-Monotone
    • เพลง "เสียงที่ตามหา" Sleeping Sheep
    • เพลง "Hey Lover" นภ พรชำนิ
    • เพลง "Let's Get Down" กอล์ฟ-ไมค์ Feat. ขัน ไทยเทเนี่ยม, อัลบั้ม Get Ready (2008)
    • เพลง "จ๋า" เสก โลโซ Feat. ขัน ไทยเทเนี่ยม (2010)
    • เพลง "Love Me, Hate The Game" m-flo, อัลบั้ม Cosmicolor (2007)
    • เพลง "Hey Sexy" CASH, อัลบั้ม CASH (2008)
    • เพลง "เรื่องธรรมดา" Super Strings feat. เวย์ ไทยเทเนี่ยม, อัลบั้ม กลาวิทัศน์ (2008)
    • เพลง "Marabahaya" E.A.R. Project
    • เพลง "Southeast A" E.A.R. Project
    • เพลง "My Lady" Suburbian, อัลบั้ม ONE
    รางวัล
    • เอ็มทีวี เอเชีย อวอร์ดส 2006 - สาขาศิลปินยอดนิยมประเทศไทย (เสนอชื่อเข้าชิง)
    • แฟตอวอร์ดส - Best Group of The Year
    • Seed Awards - Best Group of The Year
    • สีสันอวอร์ดส - Best Hip Hop Album of The Year
    • AVIMA 2009 - Best Hip Hop Group ร่วมกับ Dice & K9 (Mobbstarr) (จากฟิลิปปินส์)


    ที่มา http://celebrity.myfri3nd.com/blog/2010/07/28/entry-1

    จัดทำโดย นายวราภาส เขียวเกษม  ม.5/6 เลขที่ 29