วันอังคารที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2555

สุรามีแต่ความร้ายแรงต่อร่างกาย

 โรคตับและการดื่มสุรา
            เครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือสุรานั้น เป็นสิ่งซึ่งมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของโลกมามากกว่า 4,000 ปี ตั้งแต่ก่อนสมัยพุทธกาลเป็นต้นมา ผลข้างเคียงของแอลกอฮอร์ซึ่งพบได้หลังจากดื่มเข้าไปคือทำให้เกิดอารมณ์ดี เมื่อได้รับในขนาดน้อยๆ ไปจนถึงอาละวาดและหมดสติได้ถ้าได้รับในปริมาณมาก โดยทั่วไปแล้วทุกคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า การดื่มสุราสามารถทำให้เกิดโรคตับแข็งได้ อย่างไรก็ตามมิได้หมายความว่าผู้ที่ดื่มสุราทุกคนจะต้องเป็นโรคตับแข็งเสมอ ไป




               เครื่องดื่มที่ประกอบด้วยแอลกอฮอล์นั้นมีหลายประเภทด้วยกันเช่น เครื่องดื่มเบียร์ มีปริมาณแอลกอฮอล์ประมาณ 4 กรัมต่อเบียร์ 100 มิลลิลิตร การดื่มเบียร์ประมาณ 1 กระป๋อง จะได้รับแอลกอฮอล์ประมาณ 13 กรัม เครื่องดื่มไวน์ มีปริมาณแอลกอฮอล์ 12 กรัม ต่อไวน์ 100 มิลลิลิตร การรับประทานไวน์ 1 แก้วปกติ จะได้รับแอลกอฮอล์ประมาณ 12 กรัม สำหรับเครื่องดื่มที่เป็นวิสกี้นั้น มีปริมาณแอลกอฮอล์ 40 กรัม ต่อ วิสกี้ 100 มิลลิลิตร การดื่มวิสกี้ประมาณ 2 ฝา จะให้แอลกอฮอล์ประมาณ 15 กรัม ดังนั้นไม่ว่าจะดื่มเครื่องดื่มที่มีความเข้มข้นของแอลกอฮอร์มากหรือน้อย โดยเฉลี่ยแล้วท่านจะได้รับปริมาณแอลกอฮอล์ในระดับใกล้เคียงกัน ในทางการแพทย์ถือว่าการรับประทานแอลกอฮอล์ 12 - 15 กรัม เท่ากับปริมาณแอลกอฮอล์ 1 หน่วย จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 80 กรัมหรือ 5 หน่วย เป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี สามารถที่จะก่อให้เกิดผลเสียต่อตับได้ เป็นที่น่าสังเกตว่าบนขวดสุรานั้นไม่มีคำเตือนเกี่ยวกับการเกิดโรคตับ มีแต่การเตือนเพียงว่า "การดื่มสุราทำให้ความสามารถในการขับขี่ยานพาหนะลดลง" ซึ่งไม่เหมือนกับคำเตือนบนซองบุหรี่ที่ว่า "สูบบุหรี่มีพิษต่อร่างกาย" ทั้งนี้เนื่องจากผู้ที่บริโภคสุราในปริมาณดังที่กล่าวแล้วมีเพียงร้อยละ 15 - 20 เท่านั้นที่จะเกิดตับแข็ง ปัจจุบันยังไม่มีคำตอบที่ดีพอที่จะอธิบายว่าเพราะเหตุใด ผู้ที่บริโภคแอลกอฮอล์จำนวนมากส่วนใหญ่จึงมิได้เป็นตับแข็ง
ผลกระทบของแอลกอฮอล์ที่มีต่อตับนั้นพอจะแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะด้วยกันได้แก่
  1. ไขมันสะสมในตับ (Alcoholic fatty liver ) เป็นการเปลี่ยนแปลงในระยะเริ่มต้น จากการตรวจทางพยาธิวิทยาพบว่า มีการสะสมของไขมันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง triglyceride เพิ่มขึ้นในเซลล์ตับ ผู้ป่วยในระยะนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะไม่มีอาการใดๆ การตรวจร่างกายอาจพบว่าตับมีขนาดใหญ่ ผิวเรียบ นุ่ม และกด ไม่เจ็บ การตรวจเลือดอาจพบความผิดปกติเล็กน้อย ไม่เฉพาะเจาะจง ผู้ป่วยในระยะนี้ถ้าหยุดดื่มสุราตับจะสามารถกลับเป็นปกติโดยไม่มีพยาธิสภาพ ตกค้างอยู่แต่อย่างใด ในกรณีซึ่งยังดื่มอยู่ก็จะมีการลุกลามของโรคไปในระยะ ที่ 2

  2 . ตับอักเสบจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Hepatitis) ในระยะนี้ เป็นระยะซึ่งผู้ป่วยอาจมาพบแพทย์ได้ด้วยอาการหลายแบบ ตั้งแต่ที่มีอาการน้อย เช่น จุกแน่นที่บริเวณชายโครงด้านขวา ไปจนถึงมีอาการรุนแรง เช่น อาการดีซ่าน ไข้สูง หรือมีการเปลี่ยนแปลงทางสติสัมปชัญญะตลอดจนตับวายได้ บางครั้งผู้ป่วยอาจมีอาการทางสมอง ได้แก่ อาการสับสน วุ่นวาย หรือ อาจหมดสติได้ ผู้ป่วยในระยะนี้ถ้ามีอาการดีซ่านมาก หรือมีการเสื่อมหน้าที่การทำงานของตับจนอาจเกิดตับวาย จะเป็นกลุ่มผู้ที่มีโอกาสเสียชีวิตได้สูง นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะมีภาวะขาดสารอาหารและไวตามิน การตรวจร่างกายในระยะนี้มักพบว่าตับจะมีขนาดใหญ่และกดเจ็บ เนื้อของตับเริ่มจะแข็งกว่าระยะแรก การตรวจเลือดทางห้องปฏิบัติการจะพบความผิดปกติของการทำงานของตับได้อย่าง ชัดเจน ผู้ซึ่งหยุดดื่มเหล้าในระยะนี้ ส่วนใหญ่แล้วมักจะอาการดีขึ้นและอาจกลับเป็นปกติได้ สำหรับผู้ที่ยังดื่มต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ก็จะมีโอกาสลุกลามเข้าไปสู่ระยะที่ 3 ที่เรียกว่าตับแข็ง การรักษาคือการหยุดดื่มโดยเด็ดขาด และได้รับอาหารและไวตามินเสริมอย่างเพียงพอ ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือตับวาย ต้องได้รับการดูแลรักษาโดยแพทย์ในโรงพยาบาล
  3. ตับแข็งจากแอลกอฮอล์ (Alcoholic Cirrhosis) เป็นระยะสุดท้ายที่พบว่ามีผังผืดเกิดขึ้นในเนื้อตับ ทำให้ตับมีลักษณะผิวไม่เรียบ ขรุขระ เป็นก้อน และมีขนาดเล็กลงในระยะสุดท้าย ผู้ป่วยในระยะนี้มักจะมาพบแพทย์ได้ด้วยอาการดีซ่าน ท้องมาน หรืออาเจียนเป็นเลือดสดๆ เนื่องจากเส้นเลือดขอดในหลอดอาหารแตก เป็นต้น นอกจากนี้ผู้ที่เป็นตับแข็งยังจะมีโอกาสเสี่ยงในการเกิดมะเร็งของตับเพิ่ม ขึ้นอีกด้วย ผู้ที่หยุดดื่มในระยะนี้ตับจะมีการเสียหายอย่างถาวร และจะไม่สามารถกลับเป็นตับปกติได้อีก การหยุดดื่มจะช่วยป้องกันมิให้เกิดการเสียหายต่อเนื้อตับเพิ่มขึ้นกว่าที่ เป็นอยู่แล้ว แต่คงจะไม่สามารถทำให้ตับกลับดีตามเดิมได้ และการดูแลผู้ป่วยที่เป็นตับแข็งจากแอลกอฮอล์ไม่แตกต่างจากตับแข็งจากสาเหตุ อื่น ๆ การตรวจร่างกายจะพบว่าผู้ป่วยมักมีภาวะทุกขโภชนาการ มีกล้ามเนื้อลีบ มีเส้นเลือดขยายตามผิวหนังในส่วนบริเวณอกและหลัง และริดสีดวงทวาร อาจตรวจพบว่ามีการฝ่อของลูกอัณฑะ และความสามารถทางเพศลงลด การรักษาที่สำคัญของผู้ป่วยกลุ่มนี้คือ การหยุดดื่มโดยถาวรและรับประทานอาหารที่มีคุณค่า เนื่องจากผู้ป่วยในระยะนี้มักจะอยู่ในภาวะทุกขโภชนา
            เครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นสิ่งหนึ่งที่พบได้ในวงสังคมทั่วไป ทางวงการแพทย์พบว่า การดื่มแอลกอฮอล์วันละไม่เกิน 3 หน่วยในผู้ชาย และไม่เกิน 2 หน่วยในผู้หญิงที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและตับปกติ ไม่น่าที่จะก่อเกิดผลเสียต่อตับ อย่างไรก็ตามตัวเลขดังกล่าวนั้นใช้กับคนยุโรปที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าคนไทย ดังนั้นจึงพอจะอนุโลมในคนไทยได้ว่า ผู้ชายไทยไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 2 หน่วย และผู้หญิงไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 1 หน่วย การดื่มแอลกอฮอร์พร้อมกับอาหารจะมีผลเสียต่อตับน้อยกว่าการดื่มสุราตอนท้อง ว่าง การดื่มสุราน้อย ๆ อย่างสม่ำเสมอจะก่อให้เกิดโทษต่อตับน้อยกว่าการดื่มสุราครั้งละมากเป็นครั้ง ๆ มาเป็นระยะในปริมาณแอลกอฮอล์ที่เท่ากัน ผู้ป่วยที่เป็นพาหะของไวรัสตับอักเสบชนิด บี ที่ยังมีพยาธิสภาพของตับค่อนข้างที่จะปกติ อาจพอจะรับประทานเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ได้บ้าง อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยที่เป็นตับอักเสบชนิด ซี แบบเรื้อรัง มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มากเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นได้ว่า การดื่มแอลกอฮอล์ มีผลส่งเสริมทำให้การดำเนินของโรค ไวรัสตับอักเสบ ซี แบบเรื้อรังให้ลุกลามอย่างรวดเร็วขึ้น จนเกิดตับแข็งและมะเร็งตับได้เร็วขึ้น และเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นผู้ที่เป็นตับอักเสบชนิด ซี แบบเรื้อรังจึงไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ผู้ที่เป็นตับอักเสบชนิดบีแบบที่ไม่ใช่เป็นพาหะก็ควรหลีกเลี่ยงรับประทาน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่นกัน
               นอกจากนั้นแอลกอฮอร์ยังไปมีผลต่อการทำลายของยาหลายอย่างในร่างกายชึ่งอาจส่ง ผลเสียได้ เช่น ยาลดไข้ พาราเซตตามอล ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะถูกทำลายที่ตับ การดื่มแอลกอฮอล์จะช่วยเร่งการทำลายของยาพาราเซตตามอล ไปในทางซึ่งก่อให้เกิดสารพิษต่อร่างกายมากขึ้น ดังนั้นผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคตับและรับประทานแอลกอฮอล์ เมื่อรับประทานยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตตามอล ในขนาดปกติซึ่งใช้ได้อย่างอย่างปลอดภัยในคนทั่วไป อาจจะชักนำให้เกิดตับอักเสบอย่างรุนแรงขึ้นได้






 http://www.thailiverfoundation.org/th/cms/detail.php?id=31

นาย ธนวุฒิ ทองงาม ม.5/6 เลขที่ 25

1 ความคิดเห็น:

  1. เรื่องที่เขียนหลากหลายขึ้น ควรเปลี่ยนคำอธิบายบล็อกด้วยนะคะ

    ตอบลบ